ตำนานพญานาคสร้างเมืองศรีสัตตนาคนหุต (ขุนเทือง กับนางนาคแอกใค้)

ตำนานพญานาคสร้างเมืองศรีสัตตนาคนหุต (ล้านช้าง - ลาว)

(ขุนเทือง, ขุนทึง กับนางนาคแอกใค้ หรือพระแม่แอไค่)

นางแอกไค้ แม่แอไค่

ยังมีตำนานความเชื่อของชาวลาว-อีสาน เกี่ยวกับนาค หรือที่ดั้งเดิมเรียกกันว่า “เงือก” และถือเป็นต้นกำเนิดของนาคีก็ว่าได้ เรื่องราวของขุนเทืองกับนางแอกใค้ (ในหนังสือเล่มนี้จะเรียกขานในชื่อนี้) เป็นวรรณกรรมลาว-อีสานที่น่าสนใจอีกเช่นกัน เพราะมีการนำเสนอเกี่ยวกับนาค และเมืองนาคไว้พอสมควร รวมถึงความเชื่อถือศรัทธาและนำเอาความเชื่อนี้สืบทอดมาเป็นอารยธรรมไทยอีสาน และประเทศลาว

กล่าวถึงนครเชียงเงื้อม หรือเชียงใหญ่ มีผู้ครองนครนามว่า “ขุนเทือง” และมีมเหสีนาม “บุสดี” ได้ปกครองบ้านเมืองให้มีความร่มเย็นเป็นสุข เหตุเกิดเมื่อขุนเทืองมีความปรารถนาออกเดินเที่ยวป่า จึงออกจากเมืองไปได้ประมาณ 2 เดือน จนไปถึงริมแม่น้ำแห่งหนึ่งอันเป็นสถานที่ตั้งของสวนดอกไม้และศาลาอันงามวิจิตร ที่ธิดานาคนามว่า “แอกใค้” ได้เนรมิตเอาไว้ และในคราวนั้นก็ทำให้ทั้งสองได้พบรักกัน ณ สวนดอกไม้แห่งนี้ บทกวีบรรยายว่า

“เป็นที่อัศจรรย์แท้ อุทิยานสวนดอก

หอมฮ่วงเอ้า ใผเข้าบ่อยากหนี ได้แล้ว

ฮสทะฮ่วงเฮ้า เท้าทั่วอุทิยาน

บาคราญพระ ล่ำดูใจสะอื้น

อันนี้เมืองใดสร้าง อุทิยานสวนดอก ไว้นี้

อยู่ขอกน้ำ ชัยกว้างแม่ละเล นี้เด

มีดอกไม้ หลายส่ำนานา

มาลาหลาย จ่อจีเจือก้าน

บางพ่องบานเหลือต้น จูมจีหอมอ่อน

ทองเทศอ้วน เขียวอ้วนอ่อนหอม”

ตามวรรณคดีลาว ขุนเทืองได้ตามนางแอกใค้ไปยังนาคพิภพ และอยู่กินที่นั่นถึง 2 ปี จนกระทั่งในวันสงกรานต์ นางแอกใค้ลืมตัวจำแลงกายกลับเป็นนาคออกไปเล่นน้ำ เหตุแห่งการเล่นน้ำนี้ทำให้นางแอกใค้ถูกเตือนเพราะทำให้โลกเกิดความแห้งแล้งในฉับพลัน ทั้งคนและสัตว์เกิดความเดือดร้อน และเมื่อขุนเทืองได้เห็นนางนาคเล่นน้ำในคราวนั้น ทำให้ทราบว่าตนได้นางนาคเป็นสนม จึงเกิดตระหนักรู้ในใจว่า ตัวเองเป็นคนไม่สมควรที่จะอยู่กับนาค มีบทกวีบรรยายถึงความงามของนางแอกใค้ว่า

“ตาคมค้อม คอคางคิ้วก่อง

งามล้องค้อง สองแก้มดั่งคำ

ย่องย่องเนื้อ ขาวเกิ่งฟองสมุทร

สอยวอยสุด ยอดญิงตรองไว้

แสนแวนหน้า งามดีเสมอแว่น

แขนก่องส้วย ขาวแจ้งแจ่มพระจันทร์

งามอ้อนแอ้น แมนหล่อเหล่าโฉม

ตระโนพรรณ ฮูปคำซาวเบ้า”

ตำนานตรงนี้จะมีความแตกต่างเกิดขึ้นในวรรณคดีอีสานของไทย กล่าวถึงพระนางแอไค่ ที่ถูกเรียกกันว่า “พรเจ้าย่าทวดแอไค่” หรือพระอุมา หรือพระสันติ เมื่อพระนางแอไค่ได้สมสู่กับขุนเทือง จึงพากันไปอยู่ที่นาคพิภพ ซึ่งเป็นการกระทำผิดกฎมณเทียรบาลของนาคพิภพว่า มนุษย์จะอยู่ร่วมกันฉันผัวเมียกับนาคไม่ได้ พระนางแอไค่จึงนำเอาขุนเทืองไปซ่อนในปรางปราสาทเขาพระสุเมร อันเป็นที่ตั้งของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ร่วมรักกันนานถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน ทำให้พระนางลืมเหตุแห่งตน ทำให้เกิดภัยพิบัติแห้งแล้ง และเดือดร้อนไปทั่วทั้งสามโลก เมื่อถึงกาลสงกรานต์พระนางแอไค่จึงลงมาเล่นน้ำ และสั่งขุนเทืองว่า ห้ามเปิดประตูหน้าต่างตอนนางเล่นน้ำเด็ดขาด แต่ด้วยปฐพีเบื้องล่างเสียงตีน้ำสะเทือนไปทั่วแดน ทำให้ขุนเองตื่นตกใจเปิดประตูมาพบว่าเมียของตนเป็นนางนาค พระนางจึงได้บอกความจริงทั้งหมดแก่ขุนเทือง และส่งขุนเทืองกลับเมืองมนุษย์ต่อไป

นอกจากนี้ ยังมีบกวีบรรยายนาภพิภพไว้อีกด้วยว่า

“เห็นแต่เงินลวาดไว้ กองคำเดียรดาษ

มาบมาบเหลื้อม ฝาแก้วส่องเงา

เหมือนดั่งน้ำบ่อแก้ว ใส่ส่องรังษี

คำดีสุก แผ่ตีตางแป้น

กระดานเงินซ้อน การดานคำสัพพะฮูป

ปูแผ่นแก้ว คือน้ำอ่างคำ

มีทังรัสมีแก้ว พิฑูรย์เฮืองเฮื่อ

เหมือนดั่งประทีปไต้ มันย้อยฮุ่งโพยม”

จากตำนานตรงนี้ได้กล่าวต่อไปในตำนานของฝั่งลาวว่า เรื่องราวที่ขุนเทืองหายไปจากเมืองนานหลายปี เป็นเหตุที่นางบุสดีมเหสีของขุนเทือง ได้ให้หมอมอ หรือโหรประจำราชสำนัก ตรวจดวงชะตาว่าขุนเทืองหายไปอยู่ที่แห่งใด และเมื่อรู้ว่าขุนเทืองอยู่กับนางนาคที่นาคพิภพ จึงบนบานให้พวกผีน้ำ ผีตายาย ผีเสื้อ ผีเมือง ไปตามท้าวขุนเทืองกลับมาบ้านเมืองของตน ขุนเทืองจึงทำการลานางแอกใค้และเจ้าเมืองนาค เพื่อที่จะกลับมาเมืองมนุษย์ นางแอกใค้จึงได้มาส่งขุนเทืองที่ท่าน้ำ แต่ก่อนจะลาจากกัน นางแอกใค้ได้ล้วงเอาบุตรที่อยู่ในท้องออกแล้วเอาใบตอง ทึงห่อลูกของตนและขุนเทือง เพื่อให้ขุนเทืองนำกลับไปเลี้ยงดูที่เมืองมนุษย์ (ผู้เขียนสันนิษฐานว่าคือใบตองตึงที่ชาวอีสานนำมาห่อข้าวของ มุงหลังคา) โดยตั้งชื่อลูกนาคกับขุนเทืองนี้ว่า “ขุนทึง”

เมื่อกลับมาถึงนครเชียงเงื้อม นางบุสดีเกิดความไม่พอใจ จึงหาวิธีกำจัดลูกนาคนี้เสีย ขุนเทืองผู้เป็นบิดาเห็นการไม่ดี จึงสั่งให้เสนาอำมาตย์เอาลูกชายของตนไปปล่อยไว้ในป่า เพื่อความปลอดภัยจากเงื้อมมือของนางบุสดี เสนาอำมาตย์จึงขอให้เทวดาอารักษ์ช่วยปกปักรักษาขุนทึง ทำให้ขุนทึงอยู่ในป่าอย่างสุขสบาย ด้วยบารมีแห่งนาค จึงทำให้มีเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ผลัดเปลี่ยนเวียนกันมาเลี้ยงดู ต่อมาประมาณ 1 ปีให้หลัง ขุนเทืองผู้เป็นบิดาเกิดความคิดถึงขุนทึงบุตรชายเป็นอย่างมาก จึงให้พวกอำมาตย์ออกไปสืบหาว่า ขุนทึงยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เมื่อทราบว่ายังมีชีวิตอยู่จึงให้ไปเชิญกลับเข้านครเชียงเงื้อม

เมื่อขุนทึงเติบโตขึ้น มีความต้องการอยากจะพบมารดาที่แท้จริงของตน จึงถามไถ่พ่อถึงที่อยู่ของแม่ เมื่อทราบว่าแม่นั้นเป็นนางนาคอยู่ที่นาคพิภพ จึงขออำลาพ่อเพื่อไปสืบเสาะหาหนทางพบแม่ ขุนเทืองก็ได้อธิบายกับลูกชายว่า ต้องไปจนถึงท่าน้ำแห่งใด แล้วให้เอาไม้ตีน้ำเรียกพวกนาคให้มาหา เมื่อพวกนาคถามความก็รู้ได้ว่าเป็นบุตรของนางแอกใค้ จึงพาขุนทึงไปนาคพิภพ ขุนทึงได้พบกับแม่ ตา และยาย และอยู่ที่นั่นเป็นเวลานานพอควร จึงขอลาแม่เพื่อกลับเมืองเชียงเงื้อม นางแอกใค้แนะนำให้ลูกชายไปลาท่านตาแล้วขอของวิเศษติดไม้ติดมือกลับไปด้วย

ท่านตาได้มอบของวิเศษให้ขุนทึง 3 อย่างด้วยกัน มีหม้อทองแดง, ดาบ และของ้าว พร้อมกับวิธีใช้งานที่นางแอกใค้บอกกับลูกชายว่า หม้อวิเศษนั้นมีทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใน หากต้องการสิ่งใดให้ตั้งจิตอธิษฐานขอ แล้วเคาะเบา ๆ ของที่ต้องการนั้นจะออกมา, ดาบใช้ในการต่อสู้กับข้าศึก จะมิมีวันแพ้พ่าย, ส่วนง้าวนั้นให้ลากไปอย่าแบกหรือถือไป ขณะที่ลากถ้าง้าวไม่เกี่ยวติดสิ่งใดก็ให้เดินทางไปเรื่อย ๆ ห้ามนอน แม้ว่าจะกี่วันกี่คืนก็ตาม ถ้าง้าวเกี่ยวติดสิ่งใดแล้วจึงหยุดนอน

ขุนทึงเมื่อแม่มาส่งถึงท่าน้ำแล้วก็ออกเดินทางต่อไป โดยทำตามคำสั่งของแม่ทุกประการ เดินทางอยู่หลายวันจนกระทั่งถึงแม่น้ำใหญ่แห่งหนึ่ง ของ้าวได้เกี่ยวหยุดอยู่กับที่ จะดึงอย่างไรก็ไม่ไปจึงหยุดนอน ณ ที่นั้น เมื่อตื่นลืมตาขึ้นมาสถานที่แห่งนั้นกลายเป็นมหานครใหญ่ นามว่า “ศรีสัตนาคนหุต” (อ่าน : สี-สัด-ตะ-นา-คะ-นะ-หุด ซึ่งต่อมาเป็นชื่อของอาณาจักรล้านช้างของประเทศลาว (ອານາຈັກລ້ານຊ້າງ ) ตั้งอยู่แถบลุ่มน้ำโขงพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศลาว คาบเกี่ยวพื้นที่บางส่วนของภาคอีสานของไทย) และขุนทึงได้ปกครองเมืองแห่งนี้อย่างผาสุก มีมเหสีสองพี่น้องคู่บารมีคือนางทำและนางทอง โดยการตั้งจิตอธิษฐานเคาะหม้อทองแดง

เรื่องราวต่อมาคือเมื่อครั้งที่ขุนทึงออกเดินเที่ยวป่าเพียงลำพัง ได้เดินทางออกไปประมาณ 15 วัน จนถึงป่าหิมพานต์ ได้พบกับนางชะนีตนหนึ่งที่อยู่ใกล้อาศรมของพระฤาษี นางชะนี้นี้มีฤทธิ์เนื่องจากบารมีของพระฤาษีตนนั้น จึงแปลงกายเป็นคน ด้วยจิตพิศวาสขุนทึง จึงใส่ยาเสน่ห์ในผลไม้แล้วมอบให้ชายที่ปรารถนา ขุนทึงหลงเสน่ห์นางชะนีและได้อยู่กินกับนางชะนีทีถ้ำในป่าหิมพานต์นั้นร่วม 3 ปี ได้ลูกชายคนหนึ่งชื่อ อำคา หรือ อู่แก้ว ต่อมาขุนทึงได้ลานางชะนีกลับเมืองศรีสัตนาคนหุต พร้อมกับท้าวอำคำบุตรชาย และได้ให้สัญญากับนางชะนีว่า จะมารับไปอยู่ในเมือง เมื่อกลับถึงเมืองศรีสัตนาคนหุต นางทำและนางทองต่างก็ปลื้มปิติดีใจ

และรักท้าวอำคำเหมือนบุตรของตนเอง ขุนทึงจึงแต่งขบวนแห่เพื่อไปรับนางชะนีตามสัญญาที่เคยให้ไว้ และสั่งให้ชาวเมืองทุกคนผูกสุนัขของตนไว้ให้ดี อย่าให้เพ่นพ่าน แต่สิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นจากความริษยาของนางทำนางทองมเหสีสองพี่น้องปล่อยหมาไล่กัดนางชะนีที่จำแลงเป็นคนมานั้น จนต้องวิ่งหนีออกจากเมืองกลับไปอยู่ป่าหิมพานต์ตามเดิม

ต่อมาขุนทึงเกิดเจ็บป่วย จึงให้ท้าวอำคำไปขอยาวิเศษจากต้นมณีโคตร1กับนางชะนีผู้เป็นมารดามาให้ตน และบอกให้เอามามากๆ เพื่อแจกจ่ายให้กับชาวเมืองด้วย แต่นางชะนีให้ยามาเพียงนิดเดียว เพราะนางโกรธที่นางทำ นางทอง ปล่อยหมาไล่นางออกจาเมืองแทบเอาชีวิตไม่รอด ขุนทึงเมื่อได้กินยาก็หายเป็นปกติ

ต่อมาขุนทึงได้สละราชสมบัติให้แก่ท้าวอำคำบุตรชายของตน และล้มป่วยลงอีกครา จึงให้ท้าวอำคำไปขอยาวิเศษจากนางชะนี แต่คราวนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน นางชะนีได้ตายลงไปแล้ว ท้าวอำคำจึงกลับมามือเปล่า เมื่อขุนทึงไม่ได้ยาก็ตายจากไปอีกคน ท้าวอำคำจึงได้ครองเมืองและปกครองอย่างผาสุกตลอดมา

ต้นมณีโคตร

(1 เล่าถึงตำนานของต้นมณีโคตร หรือ มณีโครธ เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ประจำ สปป.ลาว ต้นมณีโคตรนี้มีลักษณะของต้นไทรกร่าง ซึ่งรากและลำต้นแข็งแรงและมีอายุยืนยาว ตามตำนานคือพระอินทร์นำลงมาจากสวรรค์และปลูกไว้ที่กลางน้ำตก “หลี่ผีสีทันดร” ณ ลำน้ำโขง แต่ที่กล่าวถึงในวรรณกรรมเรื่อง ขุนทึงขุนเทือง คือต้นมณีโคตรที่อยู่ริมสระอโนดาตในป่าหิมพานต์ และคำว่าอโนดาตในที่นี้ หมายถึงสระที่ไม่ถูกแสงส่องให้ร้อน อยู่ในป่าลึก หรือป่าหิมพานต์เท่านั้น ไม่ใช่สมบัติที่มนุษย์จะได้ชมเชยกันได้ง่าย ๆ และถูกขนานนามว่า ต้นชี้ตายปลายชี้เป็น โดยหากเอาด้านหัวของกิ่งชี้ไปที่ใครคนนั้นก็ตาย แต่ถ้าเอาด้านปลายกิ่งชี้ที่คนตายก็จะกลับฟื้นขึ้นมาได้ แกนของต้นหากผ่าออกมาจะเห็นเป็น 3 สี คือ สีนวลไข่ไก่ สีม่วง และสีชมพู ต้นไม้วิเศษนี้จะมีเพียง 3 กิ่งใหญ่ ที่มีความศักดิ์สิทธิ์มาก กิ่งหนึ่งทอดเอนไปทางตะวันออก หากใครได้กินผลจากกิ่งฝั่งนี้จะกลายเป็นลิง, กิ่งสองทอดเอนไปทางตะวันตก หากใครได้กินผลจากกิ่งนี้จะกลายเป็นนกกระยางขาว, กิ่งสามทอดยาวขึ้นฟ้า หากใครได้กินกิ่งนี้จะกลายเป็นคนหนุ่มสาว อายุยืนยาวไม่แก่เฒ่า

ที่ผ่านมาไม่ปรากฏการค้นพบต้นมณีโคตรที่หลี่ผี – คอนพะเพ็ง เชื่อกันว่ามีอยายุหลายร้อยปี มีลักษณะก้านกิ่งเหมือนรากชี้ขึ้นฟ้า เพราะแตกก้านใหญ่เพียงสามก้าน จึงถูกมองว่าเป็นต้นไม้อัศจรรย์ ยอดทิ่มลงดิน รากชี้ขึ้นฟ้า (คอนในภาษลาวแปลว่าแก่ง และพะเพ็งหมายถึงจันทร์วันเพ็ญ) ว่ากันว่าต้นมณีโคตรนี้เป็นที่อาศัยของนกสีดำนานาพันธุ์ แต่เมื่อถึงวันพระ จะมีแต่นกสีขาวบินมาเกาะ ในส่วนของกิ่งต้นมณีโคตร เมื่อนำไปฝนกับน้ำแล้วดื่มรักษาได้สารพัดโรค เคยมีชาวฝรั่งเศสในสมัยที่ปกครองประเทศลาวเคยพยายามส่งเฮลิคอปเตอร์เข้าไปบินใกล้ ๆ เพราะดูถูกในความเชื่อของชาวลาว แต่ ฮ. ก็ได้ตกลงอย่างไม่รู้สาเหตุ ด้วยความเชื่อว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ จึงมีการสร้างศาลไว้ให้คนบูชาที่ฝั่งบริเวณใกล้กับน้ำตกนั่นเอง และการจะเข้าไปถึงต้นมณีโคตรได้นั้นถือว่ายากมาก เพราะไม่มีใครสามารถฝ่ากระแสน้ำเชี่ยวกราดไปถึงเกาะแก่งหินกลางน้ำตกนั้นได้

เป็นที่น่าเสียดายเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2555 ต้นมณีโคตรได้โค่นล้มลง เนื่องจากอายุมากและมีกระแสลมแรง กับฝนตกหนักติดต่อกันทำให้เกิดกระแสน้ำหลาก เมื่อต้านกระแสน้ำไม่ไหวจึงโค่นล้มลงเหลือไว้เพียงต้นตอให้สักการะที่ สปป.ลาว

---------------------


บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ 
พญานาค จากตำนานสู่ความเชื่อ
ดูรีวิวและช่องทางการสั่งซื้อ << คลิก >> 👇



ผู้เขียนอนุญาตให้ Copy หรือ แชร์บทความในเว็บไซต์ ไปเผยแพร่ในช่องทางของตัวเองได้ แต่ขอความกรุณาให้เครดิต หรือแนบลิงก์สั่งซื้อหนังสือให้ด้วยจักขอบพระคุณยิ่งครับ

(ไม่อนุญาตให้จัดพิมพ์หรือจำหน่ายในเชิงพาณิชย์นะครับ)


#พญานาค #ความเชื่อเรื่องพญานาค #ตำนานพญานาค #พญานาคลุ่มน้ำโขง #พญานาคประเทศลาว #พญานาคเขมร #ศรีสุทโธนาคราช #อนันตนาคราช #ภุชงค์นาคราช #สุวรรณนาคราช #เมืองสุวรรณโคมคำ #เมืองศรีสัตตนาคนหุต

ความคิดเห็น

คนชอบอ่าน

ความหมายของไพ่บุคคล “ควีน ออฟ วานส์” (QUEEN OF WANDS)

ความหมายของไพ่บุคคล “ควีน ออฟ เพนตาเคิลส์” (QUEEN OF PENTACLES)

ความหมายของไพ่บุคคล คิง ออฟ คัพส์ (KING OF CUPS)

ความหมายของไพ่ "เดอะ เวิลด์" (THE WORLD) สอนอ่านไพ่ยิปซี