พราหมณ์เนสาทได้สุขสบายในนาคพิภพ (พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพญานาค ตอนที่ 4)

พราหมณ์เนสาทได้สุขสบายในนาคพิภพ

(พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นพญานาค ตอนที่ 4)

พราหมณ์เนสาท

ในกาลนั้น ยังมีพราหมณ์เนสาทคนหนึ่ง (พราหมณ์ประพฤติทรามที่มีอาชีพพรานป่า, เนสาท คือ นิษาท หมายถึงคนวรรณะต่า) พราหมณ์เนสาทอาศัยอยู่ใกล้ประตูกรุงพาราณสี พร้อมกับโสมทัตลูกชาย ไปสู่ป่าเที่ยวดักสัตว์ ด้วยหลาวยนต์ (กับดักไม้แหลม) และบ่วงแร้ว (หลุมดักสัตว์) ฆ่ามฤค (มฤคคือเก้ง กวาง เนื้อทราย) ได้แล้วหาบเนื้อมาขายเลี้ยงชีพ วันหนึ่ง พราหมณ์นั้นไม่ได้อะไร โดยที่สุดแม้เพียงเหี้ยสักตัวหนึ่ง จึงกล่าวว่า ดูก่อนพ่อโสมทัต ถ้าเรากลับไปมือเปล่ามารดาของเจ้าก็จะโกรธเอา เราจักพาสัตว์สักตัวหนึ่งไปให้ได้ ดังนี้แล้วจึงบ่ายหน้าตรงไปทาง จอมปลวกที่พระโพธิสัตว์ขนดกายอยู่ เห็นรอยเท้าเนื้อทั้งหลาย ซึ่งลงไปดื่มน้ำที่แม่น้ำยมุนา จึงกล่าวว่า “ลูกพ่อ ทางเนื้อปรากฏอยู่ เจ้าจงถอยออกไป พ่อจะยิงเนื้อซึ่งมาดื่มน้ำนี้” กล่าวพลางจึงหยิบเอาธนู ยืนแอบโคนต้นไม้ต้นหนึ่ง คอยดูเนื้ออยู่ ครั้นเวลาเย็นปรากฎเนื้อตัวหนึ่งมาเพื่อดื่มน้ำ พราหมณ์นั้นยิงเนื้อนั้น แต่เนื้อก็หาล้มลงในที่นั้นไม่ ตกใจด้วยกำลังศรมีเลือดไหลวิ่งหนีไป ทางด้านพรานพราหมณ์และบุตรพากันติดตามเนื้อนั้นไป จับเอาเนื้อนั้นในที่ที่มันล้มลง แล้วออกจากป่าไปถึงต้นไทรต้นหนึ่ง ในเวลาพระอาทิตย์ตก จึงปรึกษากันว่า “บัดนี้ไม่ใช่เวลาที่สามารถจะไปได้ เราจะพักอยู่ในที่นี้แล” ดังนี้แล้วจึงเอาเนื้อวางไว้ ในที่สมควรข้างหนึ่ง แล้วก็พากันขึ้นต้นไม้นอนอยู่ที่ระหว่างค่าคบไม้ (คล้ายการนั่งห้างในป่าเพื่อความปลอดภัย คบไม้ คือ ง่ามต้นไม้ที่มีกิ่งใหญ่กับต้นแยกกัน) ครั้นพราหมณ์ตื่นขึ้นเวลาใกล้รุ่ง จึงเอียงหูคอยฟังเสียงเนื้อที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น

ขณะนั้น นางนาคมาณวิกาทั้งหลาย พากันมาตกแต่งอาสนะดอกไม้เพื่อพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์กลายก็ร่างกายจากงู นิรมิตเป็นร่างทิพย์ ประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง ประทับนั่งบนอาสนะดอกไม้ ด้วยลีลาดุจท้าวสักกเทวราช ฝ่ายนางนาคมาณวิกา ก็บูชาพระโพธิสัตว์ด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น

แล้วเหล่านางนาคบรรเลงทิพย์ดนตรีฟ้อนรำขับร้อง พราหมณ์เนสาทได้ฟังเสียงนั้นแล้วคิดว่า “นั่นเป็นใครหนอ เราใคร่จักรู้จักเสียงนั้น” ดังนี้แล้วจึงพยายามปลุกบุตรชาย “ลูกพ่อผู้เจริญ” “ลูกพ่อผู้เจริญ” (ปลุกแต่ไม่ตี่น) เมื่อไม่อาจปลุกบุตรให้ตื่นขึ้นได้ จึงคิดว่า “ลูกนี้เห็นจะเหนื่อย จงนอนไปเถิด เราจักไปคนเดียว” คิดแล้วก็ลงจากต้นไม้เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ เหล่านางนาคมาณวิกา เห็นพราหมณ์นั้นจึงดำลงในแผ่นดิน พร้อมด้วยเครื่องดนตรีกลับไปยังนาคพิภพตามเดิม ส่วนพระโพธิสัตว์ได้นั่งอยู่แต่ผู้เดียวเท่านั้น พราหมณ์ยืนอยู่ในสำนักของพระโพธิสัตว์ และได้ถามพระโพธิสัตว์ไปว่า

“ท่านชื่ออะไร มีนัยน์ตาแดง อกผายนั่งอยู่ท่ามกลางป่า อันเต็มไปด้วยดอกไม้ สตรี 10 คนเป็นใคร ทรงเครื่องประดับล้วนแล้วแต่ทองคำ นุ่งผ้างาม ยืนเคารพอยู่ ท่านเป็นใครมีแขนใหญ่ รุ่งเรืองอยู่ในท่ามกลางป่า เหมือนไฟอันลุกโชนด้วยเปรียง ท่านคงเป็นผู้มีศักดิ์ใหญ่คนใดคนหนึ่ง เป็นยักษ์หรือเป็นนาคผู้มีอานุภาพมาก”

พระมหาสัตว์ได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงดำริว่า “ถ้าเราจักบอกว่า เราเป็นใครคนใดคนหนึ่งที่มีฤทธิ์ ในบรรดาผู้มีฤทธ์มีท้าวสักกเทวราชเป็นต้น พราหมณ์คนนี้คงจักเชื่อแน่แท้ แต่วันนี้เราควรจะพูดความจริงอย่างเดียว เพราะอุโบสถศีล”

เมื่อจะบอกว่า ตนเป็นพญานาค จึงกล่าวว่า “เราเป็นนาคผู้มีฤทธิ์เดช ยากที่ใครจะล่วงได้ ถ้าแม้เราโกรธแล้ว พึงขบกัดชนบทที่เจริญ ให้แหลกได้ด้วยเดชมารดาของเราชื่อ สมุททชา บิดาของเราชื่อ ธตรฐ

เราเป็นน้องของสุทัสสนะ คนทั้งหลายเรียกเราว่า ภูริทัต”

เมื่อพระมหาสัตว์กล่าวอย่างนี้แล้วจึงคิดว่า “พราหมณ์นี้ เป็นผู้ดุร้ายหยาบคาย ถ้าเขาจะไปบอกแก่หมองูแล้ว พึงทำแม้อันตรายแก่อุโบสถกรรมของเราไฉนหนอ เราจะนำพราหมณ์ผู้นี้ไปยังนาคพิภพ พึงให้ยศแก่ท่านเสียให้ใหญ่โตแล้วจะพึงทำอุโบสถกรรมของเรา ให้ยืนยาวนานไปได้” ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงกล่าวกับพราหมณ์นั้นอย่างนี้ว่า “ดูก่อนพราหมณ์ เราจะให้ยศแก่ท่านให้ใหญ่โต นาคพิภพเป็นสถานอันน่ารื่นรมย์นัก มาไปกันเถิด ไปในนาคพิภพนั้นด้วยกัน” พราหมณ์กล่าวว่า “ข้าแต่นาย บุตรของข้าพเจ้ามีอยู่คนหนึ่ง เมื่อบุตรนั้นมา ข้าพเจ้าก็จักไป”

เมื่อนั้น พระมหาสัตว์จึงกล่าวว่า “ดูกรพราหมณ์ ท่านจงไปนำบุตรของท่านมาเถิด” เมื่อจะบอกที่อยู่ของพระองค์ จึงกล่าวความว่า

“ท่านเพ่งดูห้วงน้ำลึกวนอยู่ทุกเมื่อ ห้วงน้ำนั้น เป็นที่อยู่อันรุ่งเรืองของเรา ลึกหลายร้อยชั่วบุรุษ ท่านอย่ากลัวเลย จงเข้าไปยังแม่น้ำยมุนา เป็นแม่น้ำที่มีสีเขียวไหลจากกลางป่า กึกก้องด้วยเสียงนกยูงและนกกระเรียน เป็นที่เกษมสำราญของผู้มีอาจารวัตร” “ไปเถิดพราหมณ์ไปนำบุตรมา” พราหมณ์จึงไปบอกความนั้นแก่บุตร แล้วพาบุตรนั้นมา พระมหาสัตว์พาพราหมณ์กับบุตรทั้งสอง ไปยังฝั่งแม่น้ำยมุนา ยืนอยู่ที่ริมฝั่งน้ำแล้วกล่าวว่า “ดูก่อนพราหมณ์ ท่านพร้อมด้วยบุตรไปถึงนาคพิภพแล้ว เราจะบูชาท่านด้วยกามทั้งหลาย ท่านจักอยู่เป็นสุข”

ก็แลพระมหาสัตว์ ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงนำบิดาและบุตรทั้งสอง ไปยังนาคพิภพด้วยอานุภาพของตน เมื่อบิดาและบุตรทั้งสอง ไปถึงนาคพิภพ อัตภาพก็ปรากฏเป็นทิพย์ ในลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ก็ยกสมบัติทิพย์ให้แก่ บิดาและบุตรทั้งสองนั้นมากมาย และได้ให้นางนาคกัญญาคนละ 400 ทั้งสองคนนั้นก็บริโภคสมบัติใหญ่ อยู่ในนาคพิภพนั้น

ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็มิได้ประมาท ไปกระทำอุปัฏฐากพระชนกและชนนี ทุกกึ่งเดือน แสดงธรรมกถาถวาย และต่อแต่นั้นก็ไปยังสำนักของพราหมณ์ ถามถึงความไม่มีโรค (คือการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ) แล้วกล่าวว่า “ท่านต้องการสิ่งใด ก็พึงบอกไปเถิด อย่าเบื่อหน่าย จงรื่นเริง” ดังนี้แล้ว ได้กระทำปฏิสันถาร กับท่านโสมทัต (บุตรของพราหมณ์) แล้วไปยังนิเวศน์ของพระองค์

พราหมณ์อยู่นาคพิภพได้หนึ่งปี เพราะเหตุที่ตนมีบุญน้อย ก็เกิดเบื่อหน่ายใคร่จะไปโลกมนุษย์ เห็นนาคพิภพปรากฏเหมือนโลกันตนรก ปราสาทอันประดับงดงาม ก็ปรากฏเหมือนเรือนจำ นางนาคกัญญาที่ตกแต่งสวย ปรากฏเหมือนนางยักษิณี พราหมณ์จึงคิดว่า เราเบื่อหน่ายเป็นอันดับแรก เราจักรู้ความคิดของโสมทัตบ้าง ดังนี้แล้วจึงไปยังสำนักของท่านโสมทัตแล้ว ถามว่า “ดูก่อนพ่อโสมทัต ท่านเบื่อหน่ายหรือไม่” ท่านโสมทัตย้อนถามว่า “ข้าแต่พ่อ ข้าจักเบื่อหน่าย เพราะเหตุอะไร ข้าไม่เบื่อหน่าย ก็พ่อเบื่อหน่ายหรือ” พราหมณ์ตอบว่า “เออ เราเบื่อหน่ายอยู่” โสมทัตถามว่า “เบื่อหน่ายเพราะเหตุไร” พราหมณ์ตอบว่า “ดูก่อนเจ้า พ่อเบื่อหน่ายด้วยมิได้เห็นมารดา และพี่น้องของเจ้า พ่อโสมทัตจงมาไปด้วยกันเถิด”โสมทัตแม้กล่าวว่า จะไม่ไป แต่เมื่อบิดาอ้อนวอนแล้วอ้อนวอนเล่าก็รับคำตามนั้น

พราหมณ์จึงคิดว่า เราได้ความตกลงใจของบุตรเป็นอันดับแรกแล้ว แต่ถ้าจะบอกพระภูริทัตว่า เราเบื่อหน่าย พระภูริทัตก็จักอวยยศแก่เรามากขึ้นไปอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็จะไม่ได้ไป เราจะต้องพรรณนายกย่องสมบัติของพระภูริทัต ด้วยอุบายอย่างหนึ่ง เมื่อสบโอกาสจะทูลถามพระภูริทัตว่า ที่พระภูริทัตละสมบัติถึงเพียงนี้ ไปทำอุโบสถกรรมที่มนุษย์โลกนั้น เพราะเหตุใด ถ้าตอบว่า ต้องการจะไปสวรรค์ เราก็จักทูลให้ทราบความหมายของเราว่า “สมบัติมีถึงอย่างนี้แล้ว ท่านยังละไปทำอุโบสถกรรม เพื่อต้องการจะไปสวรรค์ เพราะเหตุใดเล่า คนอย่างเราจะมาเลี้ยงชีวิตอยู่ ด้วยทรัพย์ของผู้อื่น เราจักไปมนุษย์โลกเยี่ยมญาติ แล้วบวชบำเพ็ญสมณธรรม ดังนี้ พระภูริทัตคงจักอนุญาตให้ไปเป็นแน่”

ครั้นพราหมณ์คิดได้ดังนี้ ต่อมาวันหนึ่ง พอพระโพธิสัตว์มาเยี่ยมและถามว่า เบื่อหรือไม่ ก็ตอบว่า “ข้าพเจ้าจักเบื่อหน่ายเพราะเหตุอะไร สิ่งของเครื่องบริโภคที่ได้ แต่สำนักของพระองค์ มิได้บกพร่องสักอย่างหนึ่ง” ในระยะนี้ พราหมณ์ไม่ได้แสดงถึงเรื่องที่จะไปจากที่นี่ ตั้งต้นก็กล่าวพรรณนา ถึงสมบัติของพระโพธิสัตว์ เพื่อให้พระองค์วางพระทัยว่าอยากอยู่ที่นี่มาก โดยกล่าว่า “แผ่นดินนี้มีพื้นอันราบเรียบ ประกอบด้วยต้นกฤษณาเป็นอันมาก ดารดาษด้วยหมู่แมลงค่อมทอง มีหญ้าเขียวชอุ่มงามอุดม หมู่ไม้อันน่ารื่นรมย์ สระโบกขรณีที่สร้างไว้สวยงาม ระงมด้วยเสียงหงส์ มีดอกปทุมร่วงหล่นอยู่เกลื่อนกลาด มีปราสาท 8 มุม มีเสา 1,000 เสา สำเร็จด้วยแก้วไพฑูรย์ เรืองจรูญด้วยเหล่านางนาคกัญญา พระองค์เป็นผู้บังเกิดในวิมานทิพย์อันกว้างใหญ่ เป็นวิมานเกษมสำราญรื่นรมย์ มีความสุขหาสิ่งใดจะเปรียบปานมิได้ ด้วยบุญของพระองค์ พระองค์เห็นจะไม่ทรงหวังวิมานของพระอินทร์ เพราะฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ไพบูลย์ของพระองค์นี้ เหมือนของท้าวสักกเทวราชผู้รุ่งเรือง ฉะนั้น”

พระมหาสัตว์ ครั้นได้ฟังดังนั้นแล้วจึงกล่าวว่า “ดูก่อนพราหมณ์ ท่านอย่าพูดอย่างนั้นเลย ยศศักดิ์ของเราหากเทียบกับ ยศศักดิ์ของท้าวสักกเทวราชแล้ว นับว่าต่ำมาก ปรากฏเหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดใกล้ภูเขาสิเนรุ พวกเราก็มีค่าไม่ถึง แม้ด้วยคนบำเรอของท่าน” “อานุภาพของคนบำรุงบำเรอชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งอยู่ในอำนาจของท้าวสักกเทวราชผู้รุ่งเรือง ซึ่งใครๆ ไม่พึงถึงด้วยใจ”

พระองค์ทรงตรัสว่า “ดูก่อนพราหมณ์ ใครๆ ไม่พึงถึงด้วยใจ คือแม้ด้วยจิตว่า ชื่อว่า ยศศักดิ์ของท้าวสักกเทวราช จะมีเพียงเท่านี้ คือ 1-2-3-4 วันเท่านั้น ยศศักดิ์ของสัตว์เดรัจฉานของเรายังไม่ถึงเสี้ยวที่ 16 แห่งยศศักดิ์ของท้าวมหาราชทั้ง 4 ก็ดี ของท้าวโลกบาลทั้ง 4 ผู้บำรุงบำเรอ เที่ยวทำให้เป็นผู้ใหญ่ผู้นำก็ดี” “เราได้ยินท่านพูดว่า นี้เป็นวิมานของท่านผู้มีพระเนตร ตั้ง 1,000 เราก็ระลึกได้เพราะว่า เราปรารถนาเวชยันตปราสารท (เวชยันตปราสารท คือชื่อวิมานของพระอินทร์) จึงกระทำอุโบสถกรรม”

เมื่อพราหมณ์ครั้นได้ฟังดังนั้นแล้ว ถึงความโสมนัส (ดีใจ) ว่า บัดนี้เราได้โอกาสแล้ว เมื่อจะลาไป จึงกล่าวว่า “ข้าพระองค์กับทั้งบุตร เข้าไปสู่ป่าแสวงหามฤค มานานวัน พวกญาติทางบ้านเหล่านั้นไม่รู้ว่าข้าพระองค์ตายหรือเป็น ข้าพระองค์จะขอทูลลา พระภูริทัตผู้ทรงยศเป็นโอรสแห่งกษัตริย์กาสี กลับไปยังมนุษยโลก พระองค์ทรงอนุญาตแล้ว ข้าพระองค์ก็จะไปเยี่ยมหมู่ญาติ พระเจ้าข้า”

พระโพธิสัตว์กล่าวว่า “การที่ท่านได้มาอยู่ในสำนักของเรานี้ เป็นความพอใจของเราหนอ แต่ว่ากามารมณ์เช่นนี้ เป็นของไม่ได้ง่ายในมนุษย์ ถ้าท่านไม่ปรารถนาจะอยู่ เราจะบูชาท่านด้วยกามารมณ์ทั้งหลาย เราอนุญาตให้ท่านไปเยี่ยมญาติได้โดยสวัสดี” ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์จึงคิดว่า พราหมณ์นี้ เมื่อได้อาศัยเราเลี้ยงชีพเป็นสุข คงจะไม่บอกแก่ใครๆ เราจักให้แก้วมณีอันให้ความใคร่ทุกอย่างแก่พราหมณ์นี้ จึงกล่าวว่า “ดูก่อนพราหมณ์ ท่านจงรับเอาทิพยมณีนี้ไป เมื่อท่านทรงทิพยมณีนี้ไป จะต้องการปศุสัตว์ก็ดี บุตรก็ดี หรือปรารถนาอะไรอื่นก็ดี

ก็จะได้สมประสงค์ทุกประการ ท่านจงปราศจากโรคภัยเป็นสุขเถิด”

พราหมณ์จึงกล่าวว่า “ดูก่อนภูริทัต พระดำรัสของท่านเป็นกุศล ไม่มีโทษ ข้าพระองค์ยินดีพระดำรัสนั้นยิ่งนักไม่ปฏิเสธ แต่ข้าพระองค์แก่แล้ว เพราะฉะนั้นข้าพระองค์จักบวช” (พราหมณ์เนสารทปฏิเสธการรับแก้วมณีสารพัดนึก)

พระมหาสัตว์จึงกล่าวว่า “ดูก่อนพราหมณ์ ชื่อว่าการอยู่พรหมจรรย์ เป็นการทำได้ยากยิ่ง ถ้าหากในกาลใด พรหมจรรย์ที่เราไม่ยินดี มีการต้องละเลิก ในกาลนั้น กิจที่ต้องทำด้วยโภคทรัพย์ทั้งหลาย ของผู้เป็นคฤหัสถ์มีอยู่ ในกาลเช่นนี้ ท่านอย่าได้หวาดหวั่นใจไปเลย ควรมาสำนักเรา เราจะให้ทรัพย์แก่ท่านมากๆ”

พราหมณ์ได้ฟังจึงกล่าวว่า “ข้าแต่พระภูริทัต พระดำรัสของพระองค์หาโทษมิได้ ข้าพระองค์ยินดียิ่งนัก ข้าพระองค์จะกลับมาอีก ถ้าจักมีความต้องการ”

พระภูริทัตตรัสดำรัสนี้แล้ว จึงใช้ให้นาคมาณพ 4 ตนไปส่งโดยกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจงมา เตรียมตัวพาพราหมณ์ไปส่งให้ถึงโดยเร็ว” นาคมาณพทั้ง 4 ตนรับสั่งของพระภูริทัต จึงเตรียมตัวแล้วพาพราหมณ์ไปส่งให้ถึงโดยเร็ว

ฝ่ายพราหมณ์เมื่อเดินทางถึงฝั่งน้ำ จึงบอกแก่บุตรว่า “ดูก่อนพ่อโสมทัต เรายิงมฤคในที่นี้ สุกรในที่นี้” ดังนี้แล้วจึงเดินไป เห็นสระโบกขรณีในระหว่างทางเกิดอยากอาบน้ำสรงกายขึ้นมา จึงกล่าวว่า “พ่อโสมทัต อาบน้ำกันเถิด” เมื่อท่านโสมทัตกล่าวว่า “ดีละพ่อ” ทั้งสองคนจึงเปลื้องเครื่องอาภรณ์อันเป็นทิพย์ และผ้าทิพย์ แล้วห่อวางไว้ริมฝั่งสระโบกขรณี ลงไปอาบน้ำ ขณะนั้น เครื่องอาภรณ์และผ้าทิพย์เหล่านั้น ได้หายไปยังนาคพิภพตามเดิม ผ้านุ่งห่มผืนเก่า กลับสวมใส่ในร่างของคนทั้งสองนั้นก่อน แม้ธนูศรและหอกได้ปรากฏตามเดิม ฝ่ายท่านโสมทัตร้องว่า “ท่านทำเราให้ฉิบหายแล้วพ่อ” ลำดับนั้น บิดาจึงปลอบท่าน โสมทัตว่า

“อย่าวิตกไปเลยลูกพ่อ เมื่อมฤคมีอยู่เราฆ่ามฤคในป่าเลี้ยงชีวิต” มารดาท่านโสมทัตทราบการมาของคนทั้งสอง จึงต้อนรับนำไปสู่เรือน จัดข้าวน้ำเลี้ยง ดูให้อิ่มหนำสำราญ พราหมณ์บริโภคอาหารเสร็จแล้วก็หลับไป ฝ่ายนางจึงถามบุตรว่า “พ่อโสมทัต ทั้ง 2 คนหายไปไหนมานานจนถึงป่านนี้”

โสมทัตตอบว่า “ข้าแต่แม่ พระภูริทัตนาคราชพาข้ากับบิดาไปยังนาคพิภพ เพราะเหตุนั้น เราทั้งสองคิดถึงแม่ จึงกลับมาถึงบัดนี้” มารดาถามว่า “ได้แก้วแหวนอะไรๆ มาบ้างเล่า” โสมทัตตอบว่า “ไม่ได้มาเลยแม่” มารดาถามว่า “ทำไมพระภูริทัตไม่ให้อะไรบ้างหรือ” โสมทัตตอบว่า “พระภูริทัตให้แก้วสารพัดนึกแก่พ่อ พ่อไม่รับเอามา” มารดาถามว่า “เหตุไรพ่อเจ้าจึงไม่รับ” โสมทัตตอบว่า “ข้าแต่แม่ ข่าวว่าพ่อจักบวช” นางพราหมณีนั้นโกรธว่า บิดาทิ้งทารกให้เป็นภาระแก่เรา ตลอดกาลประมาณเท่านี้ ไปอยู่เสียในนาคพิภพ ข่าวว่าเดี๋ยวนี้จะบวช ดังนี้แล้วจึงตีหลังพราหมณ์ด้วยพลั่วสาดข้าว แล้วขู่คำรามว่า “อ้ายพราหมณ์ผู้ชั่วร้าย ข่าวว่าจักบวช ภูริทัตให้แก้วมณีก็ไม่รับ ทำไมไม่บวช กลับมาที่นี้ทำไมอีกเล่า จงรีบออกไปให้พ้นเรือนกู” ลำดับนั้น “พราหมณ์จึงปลอบนางพราหมณีว่า เจ้าอย่าโกรธข้าเลย เมื่อมฤคในป่ายังมีอยู่ข้าจะไปฆ่ามาเลี้ยงเจ้า” ดังนี้แล้วก็จากที่นั้นไปป่าพร้อมด้วยบุตร หาเลี้ยงชีวิตโดยทำนองในก่อนแล (จบเนสาทกัณฑ์)

---------------------


บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ 
พญานาค จากตำนานสู่ความเชื่อ
ดูรีวิวและช่องทางการสั่งซื้อ << คลิก >> 👇



ผู้เขียนอนุญาตให้ Copy หรือ แชร์บทความในเว็บไซต์ ไปเผยแพร่ในช่องทางของตัวเองได้ แต่ขอความกรุณาให้เครดิต หรือแนบลิงก์สั่งซื้อหนังสือให้ด้วยจักขอบพระคุณยิ่งครับ

(ไม่อนุญาตให้จัดพิมพ์หรือจำหน่ายในเชิงพาณิชย์นะครับ)


#พญานาค #ความเชื่อเรื่องพญานาค #ตำนานพญานาค #พญานาคลุ่มน้ำโขง #พญานาคประเทศลาว #พญานาคเขมร #ศรีสุทโธนาคราช #อนันตนาคราช #ภุชงค์นาคราช #สุวรรณนาคราช #เมืองสุวรรณโคมคำ #เมืองศรีสัตตนาคนหุต

ความคิดเห็น

คนชอบอ่าน

ความหมายของไพ่บุคคล “ควีน ออฟ วานส์” (QUEEN OF WANDS)

ความหมายของไพ่บุคคล “ควีน ออฟ เพนตาเคิลส์” (QUEEN OF PENTACLES)

ความหมายของไพ่บุคคล คิง ออฟ คัพส์ (KING OF CUPS)

ความหมายของไพ่ "เดอะ เวิลด์" (THE WORLD) สอนอ่านไพ่ยิปซี