เวทมนตร์มีจริงหรือไม่
เชื่อว่าคำถามนี้ติดอยู่ในใจของผู้ที่ชื่นชอบความลี้ลับ หรือสิ่งที่อยู่เหนือการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์พอสมควร และถึงแม้คำว่า “เวทมนตร์” จะอยู่นอกกรอบในเชิงการวิเคราะห์อย่างสมเหตุสมผล แต่หลายอารยธรรมบนโลก ก็ใช้เวทมนตร์เป็นส่วนประกอบพื้นฐานของความเชื่อ ศรัทธา หรือแม้กระทั่งเป็นรากฐานขนบธรรมเนียมประเพณีที่สืบทอดต่อเนื่องกันมาจากรุ่นสู่รุ่น และเป็นข้อโต้แย้งของกลุ่มแนวคิดที่แตกต่างกัน กลุ่มที่ไม่เชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติ ก็จะมองว่าเป็นความงมงาย ไร้สาระ ในกลุ่มที่เชื่อมั่นตำนานกล่าวขานที่สอดแทรกในตัวบทศาสนา ก็จะเชื่อมั่นในปาฏิหาริย์ที่อาจเกิดขึ้นได้ หากเข้าถึง เข้าใจ และฝึกบำเพ็ญ และแทบจะทุกศาสนาบนโลกก็จะมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติให้แนบชิดกับผู้นับถือ ยกตัวอย่างเช่น ศาสนาพุทธกล่าวถึงเรื่องเทวดา นรก สวรรค์ และปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า, ศาสนาคริสต์ กล่าวถึงพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ ปาฏิหาริย์ของพระเยซู เหล่าเทวทูตและซาตาน, ศาสนาอิสลาม กล่าวถึงพระอัลลอฮ์ผู้ทรงอำนาจ มลาอิกะฮ์ (เทวทูต) และญิน, ศาสนาฮินดู กล่าวถึงเทพเจ้าอวตาร พลังแห่งจักรวาลหรือปรมาตมัน พิธีกรรมอารตีไฟ, ศาสนาพื้นเมืองเช่น ผี บรรพบุรุษ กล่าวถึงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ กระแสพลังธรรมชาติ และเครื่องรางของขลัง เป็นต้น
แต่ใดใดก็ตาม ยังคงมีบางกลุ่มความเชื่อที่อาจจะทั้งตั้งตนเป็นศาสนา หรือลัทธิบางอย่าง เช่น สโตอิก หรือยูทิลิทาเรียน ที่ไม่มีการกล่าวถึงเทพ ไม่กล่าวถึงเรื่องเหนือธรรมชาติ หรือจะกลุ่มศาสนาที่แตกแยกย่อยเช่น พุทธเถรวาทแบบวิชาการสมัยใหม่ ที่จะเน้นปรัชญาการดำเนินชีวิต…….และจิตวิทยามากกว่าปาฏิหาริย์ แต่ก็ไม่หลุดตีมคำว่านิพพานให้เป็นบทสรุปของการหลุดพ้น ซึ่งนิพพานไม่ถือเป็นปาฏิหาริย์ แต่เป็นข้อสันนิษฐานของการบรรลุมรรคผลปฏิบัติและยุติการเวียนว่ายตายเกิดตามพื้นฐานความเชื่อเรื่องกรรมนั่นเอง เรียกได้ว่า ไม่มุ่งเน้นศึกษาเรื่องอภิญญาปาฏิหาริย์ ละความเข้าใจเรื่องกรรมฐาน แต่ไปให้ความสำคัญกับคำสอนในเชิงปรัชญาเป็นหลักยึดเท่านั้นเอง
มีหลักฐานทางมานุษยวิทยายืนยันได้ว่า ทุกสังคมโบราณบนโลก มีความเชื่อเรื่องพลังเหนือธรรมชาติ เวทมนตร์ และการติดต่อกับสิ่งเร้นลับ ซึ่งนอกจากความเชื่อเหล่านี้จะสอดแทรกอยู่ในศาสนา ก็ยังฝังรากลึกในความเชื่อพื้นบ้าน ตำนาน และพิธีกรรม ดังนั้น คำกล่าวที่ว่า “ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความงมงายมากที่สุด ทำให้ไม่เจริญ” จึงเป็นคำกล่าวที่ไม่ถูกต้องจากกลุ่มผู้ไม่มีความรู้ หรือพูดเท่าที่รู้เท่านั้น เพราะในยุคปัจจุบัน ประเทศเกือบทั้งหมดบนโลกก็ยังมีประชากรบางส่วนที่เชื่อเรื่องเวทมนตร์ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของขลัง ไสยศาสตร์ พิธีกรรม หรือแม้แต่การแพทย์พื้นบ้านหรือแพทย์ทางเลือกบางกลุ่ม ยกตัวอย่างเช่น
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย ลาว กัมพูชา พม่า เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ จะเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ ผีบรรพบุรุษ เครื่องราง เวทมนตร์ในเชิงศาสนาทั้งพุทธและพราหมณ์
เอเชียตะวันออก เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี มองโกเลีย จะเชื่อเรื่องเต๋า ชามาน คาถา ขงจื้อปะปนกับผีสาง ฟูกูซูในญี่ปุ่น
เอเชียใต้ เช่น อินเดีย เนปาล ศรีลังกา ปากีสถาน บังกลาเทศ จะเชื่อในคัมภีร์พระเวท พิธีมนตร์ โยคะ ตันตระ คาถาในแบบฮินดูและพุทธ
เอเชียกลาง จะมีความเชื่อเรื่องชามาน เติร์ก มองโกล
ตะวันออกกลาง เช่น อิหร่าน อาหรับ ยียิปต์ ตุรกี จะเชื่อเรื่องเวทมนตร์อิสลาม ญิน คัมภีร์กุรอานที่ใช้เป็นเครื่องราง
แอฟริกา เกือบทุกประเทศจะมีเวทมนตร์ท้องถิ่น เช่น วูดู เวทมนตร์ชนเผ่า การเรียกวิญญาณ ถ้าเป็นแอฟริกาตะวันตก แถบประเทศไนจีเรียน กานา เบนิน จะเชื่อเรื่องเวทโบราณและวูดู ทางฝั่งตะวันออกเช่น เอธิโอเปีย เคนยา แทนซาเนีย จะเชื่อเรื่องหมอผี พิธีเรียกฝน หรือแถบประเทศแอฟริกาใต้ จะมีความผสมผสานศาสนาคริสต์ เข้ากับความเชื่อเรื่องเวทมนตร์พื้นเมือง
ยุโรป ไล่ไปตามลำดับจากยุโรปเหนือ แถบประเทศ ไอซ์แลนด์ นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ก ฟินแลนด์ จะเชื่อเรื่องเวทมนตร์นอร์ส รูน (Runes) ชามานซามี ไล่มาจนถึงยุโรปตะวันตก เช่น ฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษ ไอร์แลนด์ จะเชื่อเรื่องเวทมนตร์เซลติก เวทมนตร์คริสต์ยุคกลาง การร่ายคาถาของพ่อมดแม่มด จนถึงฝั่งยุโรปตะวันออก เช่น รัสเซีย ยูเครน โปแลนด์ โรมาเนีย จะเชื่อเรื่องคติชาวบ้าน เวทมนตร์สลาฟ แวมไพร์ หมอผีพื้นบ้าน
อเมริกาไล่ไปตามลำดับ จากอเมริกาเหนือ เช่น สหรัฐฯ แคนาดา จะเชื่อเรื่องเวทมนตร์อินเดียนพื้นเมือง วูดู หรือจะเป็นเวทมนตร์ยุคใหม่อย่างพวกวิคคา (Wicca) หรือนีโอเพแกน (Neopagan) อเมริกากลาง รวมถึงแคริบเบียน เช่น คิวบา เฮติ จาไมกา เม็กซิโก จะเชื่อเรื่องซันเทเรีย (Santeria) วูดู เวทมนตร์มายัน แอซเท็ก (Aztec) ที่โดดเด่นคือหินออบซิเดียน (Obsidian) ธาตุกายสิทธิ์ที่อาจจะคุ้นหูคนไทยอยู่บ้าง ถ้าฝั่งอเมริกาใต้ เช่น ปราซิล เปรู ชิลี จะเชื่อเรื่องเวทมนตร์ชามาน อายาวัสกา (Ayahuasca) คาถาพื้นบ้านผสมคริสต์
แถบโอเชียเนีย เช่น ออสเตรเลีย หรือนิวซีแลนด์ ก็มีความเชื่อพื้นเมือง (Dreamtime) พลังมานะ (Mana) ที่ในภาษาเกมส์ออนไลน์เรียกว่า “มานา” นั่นแหละครับ รวมไปถึงเวทมนตร์เผ่าเมารี หรือจะเป็นหมู่เกาะแปซิฟิก เช่น ซามัว ตองกา ฟิจิ ฮาวาย ก็จะเชื่อเรื่องพลังมานะ และการเรียกวิญญาณ
และนี่เป็นตัวอย่างความเชื่อในเรื่องสิ่งเร้นลับและศาสตร์เวทมนตร์ของแทบจะทุกประเทศบนโลก มากกว่า 190 ประเทศล้วนมีประชากรที่เชื่อมั่นอย่างเหนียวแน่น เพราะเวทมนตร์เป็นมรดกทางความเชื่อดั้งเดิมของมนุษยชาติ อยู่คู่กับศาสนาและวัฒนธรรมมาโดยตลอด แตกต่างกันที่ ความเชื่อเรื่องเวทมนตร์เป็นศูนย์กลางของสังมคม หรือถูกมองเป็นวัฒนธรรมพื้นบ้านหรือความเชื่อเฉพาะกลุ่มเท่านั้นเอง
ดังนั้น การตอบคำถามที่ว่า เวทมนตร์มีจริงหรือไม่ จึงขึ้นอยู่กับการรับรู้และเข้าใจของแต่ละคนที่แตกต่างกัน สิ่งเดียวที่จะตอบได้ดีที่สุดว่าเวทมนตร์มีจริงหรือไม่คือการเรียนรู้ ฝึกฝนด้วยตนเอง เพราะประสบการณ์คำบอกเล่าของแต่ละคนแตกต่างกัน ถ้าเป็นในมุมของผู้เขียน ก็ต้องตอบว่า “มีจริง” เพราะเคยได้สัมผัสประสบการณ์บางอย่างมาแล้ว แต่ถ้าในมุมของผู้ที่สืบทอดต่อกันมานั้น เวทมนตร์ มีรากศัพท์มาจากภาษาสันสกฤต โดยคำว่า เวท (Veda) แปลว่าความรู้ คำสอน ตำราอันศักดิ์สิทธิ์ และคำว่า.....มนตร์ (Mantra) แปลว่า ถ้อยคำ คำสวด คาถา เสียงศักดิ์สิทธิ์ เมื่อรวมกันแล้ว “เวทมนตร์” จึงมีความหมายว่า “ความรู้หรือคาถาอันศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถก่อให้เกิดพลังเหนือธรรมชาติ” แต่นี่เป็นเพียงการจำกัดความในมุมของภาษารากที่เราเข้าใจเท่านั้น หากเปรียบเทียบกับเวทมนตร์ในฝั่งยุโรปเหนือเช่น Seiðr หรือ Runes มักจะตีความไปถึงชะตากรรม การเปลี่ยนแปลงโชคชะตา การทำนาย ตัวอักษรศักดิ์สิทธิ์ การวาด จาร สลักเป็นรูปยันต์เพื่อคุ้มครองหรือร่ายเวท ถ้าเป็นฝั่งกรีก-โรมัน จะมองว่าเวทมนตร์เป็นการผสมผสานการใช้ดวงดาวและคำสาบาน ร่วมกับพิธีกรรมท้องถิ่น ถ้าเป็นฝั่งอียิปต์โบราณ จะเชื่อมโยงพลังดั้งเดิมที่ถูกสร้างในห้วงจักรวาล ทวยเทพและมนุษย์ต่างเข้าถึงได้ จึงมีพิธีบูชาเทพ การรักษาโรค และคุ้มครองผู้ตายในโลกหลังความตาย หรือจะเป็นเวทมนตร์ฝั่งจีนที่หยั่งรากลึกสืบเนื่องจากอารยธรรมจีนโบราณ ก็จะใช้ยันต์ร่วมกับมนตร์คาถา มีการใช้ฝูหลู่ เชื่อเรื่องการเคลื่อนไหวของพลังชี่ พลังปราณ และการเรียกเทพหรือสื่อสารกับวิญญาณนั่นเอง
และแน่นอนว่า สิ่งที่เกริ่นมาทั้งหมดนี้ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจบริบทของคำว่าเวทมนตร์ในมุมมองของอารยประเทศ ที่ยังคงสอดแทรกอยู่ในความเชื่อพื้นบ้าน หรือฝังรากลึกในจิตวิญญาณผ่านความเชื่อทางศาสนา แต่สิ่งที่เราจะเรียนรู้กันในพ็อกเก็ตบุ๊คเล่มนี้ คือศาสตร์เวทมนตร์นอร์สและการร่ายคาถาจากอักษรรูน ซึ่งต้องผ่านกระบวนการทำความเข้าใจพื้นฐานมากอยู่พอสมควร ซึ่งผู้เขียนให้ใช้ประสบการณ์และกระบวนการศึกษาค้นคว้า จนสรุปแนวทางปฏิบัติมาให้เป็นลำดับอย่างไม่สับสน ให้ผู้ใช้ได้นำไปเรียนรู้ทดลองด้วยตนเอง ซึ่งจากการศึกษา แนวคิดเกี่ยวกับศาสตร์เวทมนตร์.......ที่น่าสนใจจากหนังสือ Futhark : A handbook of Rune Magic ที่เขียนโดย Edred Thorsson นามปากกาของ Stephen E. Flowers, PhD ถูกตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1984 โดย Weiser Books จัดได้ว่าเป็นความครบถ้วนสมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่ผู้เขียนศึกษามา แต่จะไม่ถูกกล่าวถึงในพ็อกเก็ตบุ๊คเล่มนี้ในเรื่องการทำท่วงท่าอักษรรูนจากแนวคิดรูนโยคะ หรือการผสมผสานแนวคิดอื่นใดก็ตาม ถึงแม้จะมีการกล่าวถึงความเชื่อรากฐานดั้งเดิมว่าเป็นแนวทางปฏิบัติของกลุ่ม Vitkar หรือ Vitki ท่านใดก็ตาม (Vitkar = กลุ่มนักเวท หมอผี ผู้รู้เวท ตามความเชื่อของชาวนอร์สดั้งเดิม มีการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นจนถึงปัจจุบันก็ยังคงมีผู้ที่แสดงตัวตนดังกล่าวอยู่บ้าง) หากท่านใดสนใจก็ตามชื่อหนังสือที่แจ้งไปแล้วนะครับ สามารถค้นหาหรือจัดซื้อมาอ่านได้ตามอัธยาศัย ในเล่มนี้ จะให้แนวทางที่ผสมผสาน สอดคล้อง ครบถ้วน ในเชิงการฝึกเวทมนตร์อย่างจริงจังแต่เป็นมิติของการเข้าถึงเชิงจิตวิญญาณ และการใช้ไม้กายสิทธิ์ประกอบการฝึกเท่านั้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น