ก่อนขอพรอะไรกับเทวดาต้องพิจารณาให้ได้แบบนี้ก่อน โดย อ.ไป๋ล่ง
กล่าวถึงตรงนี้คงพอเดาได้นะครับว่า เทวดาเหล่าใดก็ตาม จะสามารถประทานให้ได้ตามคำขอหรือไม่ เราต้องมีกายและใจพร้อมในด้านใดบ้าง เพราะเทวดาเหล่านั้นยังคงต้องการอนุโมทนาบุญ และการอุทิศบุญจากมนุษย์เพื่อให้ตน มีกำลังมากขึ้น ยังต้องการให้มนุษย์ช่วยเติมแสงเทียนให้สว่างสดใสต่อไป นอกจากนั้น ความเป็นไปได้อื่นก็อาจจะมีเหตุปัจจัยบางประการครับ เช่น มีกรรมดีสัมพันธ์กันมากับเทวดาเหล่านั้นในอดีต หรือมีกรรมชั่วที่เทวดาท่านเคยทำกับเราเอาไว้ และต้องมาตามชดใช้ให้เราในภพชาติปัจจุบันหรือไม่ สิ่งเหล่านี้มีเหตุผลรองรับความเป็นไปได้ในเรื่องของการประทานพร หรืออุปถัมภ์ของเทวดาประจำบ้านนั่นเอง และอยากให้ทุกคนให้ความสำคัญ เพราะเทวดาประจำบ้าน หรือเทวดาประจำพระพุทธรูปในบ้านล้วนมีความสำคัญอย่างใกล้ชิดต่อเราท่านทั้งหลายเป็นอย่างมาก
๑.) ความหวัง คือหวังจะรวย หวังจะปลดหนี้ หวังจะมีทรัพย์มาก สารพัดหวัง
๒.) ความมีเสน่ห์ อยากให้คนเห็นคนรักคนเมตตา อยากให้คนรักไม่นอกใจ หรืออยากให้คนรักกลับมาก็ว่ากันไป
๓.) ความห่วงใย อยากให้คนนั้นหายป่วย อยากให้ครอบครัวมีความสุข อยากให้คนรักอยู่กับเราไปนานๆ
๔.) ปัญหา คือถูกรุมเร้าด้วยปัญหา อยากให้ปัญหาหมดไป อยากแก้ปัญหา ไม่อยากเผชิญหน้ากับปัญหา
๕.) ผลสำเร็จ อยากให้กิจการเจริญรุ่งเรือง อยากให้เรื่องนี้ผ่านไปได้ อยากชนะคดีความ อยากมีลูก อยากให้สิ่งนั้นสำเร็จตามที่ตั้งใจ ๖) โชคลาภ คือความคาดหวังลาภผล (ลาภที่เกิดจากผลของการทำบุญ) หรือลาภลอย (ลาภที่ได้มาแบบฟลุค ๆ หรือได้มาแบบไม่คาดคิด)
บางคนหวังที่จะปลดหนี้ แล้วคุณมีแผนที่จะปลดหนี้หรือยัง เช่น “ฉันตั้งใจจะสมัครงานเพิ่มที่นี่แหละ เพื่อจะเอารายได้ตรงนั้นมาปลดหนี้” จึงไปขอพร ให้งานที่จะทำไม่มีอุปสรรค และไม่มีค่าใช้จ่ายฉุกเฉินเกิดขึ้นในขณะที่รวบรวมเงินปลดหนี้
บางคนหวังจะแก้ปัญหาได้ ก็ต้องพิจารณาไปก่อนว่า ตัวปัญหาคืออะไร แล้วปัญหานี้มันเกิดเพราะอะไร เมื่อรู้ที่มาของปัญหา ก็หาแนวทางแก้ปัญหาเตรียมการไว้ให้พร้อม วางแผนแก้ปัญหาไปให้เทวดาท่านด้วย ถ้ามีแผนจะกี่แผนก็ตาม คำนวณโอกาสสำเร็จของแผนนั้นไปด้วย แล้วไปขอพรในแผนที่คิดไว้ว่าให้สมปรารถนา สิ่งที่สำคัญคือ ถ้าแก้ไขปัญหาได้แล้ว ต้องทบทวนปัญหาแบบเดิมให้มาก และไม่ทำให้มันเกิดขึ้นอีก
อยากมีคนรักคนเมตตา ก็ให้นั่งส่องกระจกก่อนไปไหว้ แล้วพิจารณาตัวเองก่อนว่า ที่คนเขาไม่เมตตามีเหตุมาจากอะไร ยิ้มหน่อยไปไหม พูดจาไม่เข้าหูใครหรือเปล่า หรือคนเมตตาก็มีอยู่แล้ว แต่อยากมีเพิ่ม ก็ต้องส่องกระจกสำรวจข้อบกพร่องอีกเช่นกัน แล้วพิจารณาดูว่าฉันยังขาดอะไรไป ฉันชอบโกหกหรือเปล่า หรือฉันชอบพูดประโยคที่คนไม่ชอบฟังไหม ฉันแต่งหน้าเข้มไปไหม ฉันมีกลิ่นปากไหม ฯลฯ แล้วแก้ไขสิ่งเหล่านั้นก่อน จึงค่อยไปขอพรว่า “ดิฉันขอให้มีแต่คนรักคนเมตตา” ไม่ใช่ไม่พิจารณาตนเอง แล้วก็ไปพึ่งไสยเวทย์พวกเมตตามหานิยมให้ป่วยการ
อยากให้คนนั้นหายป่วย ก็ต้องพิจารณาก่อนว่า เขาป่วยด้วยโรคอะไร โอกาสหายมีกี่ส่วน ถ้าแพทย์บอกว่ามีโอกาสหาย เราเอาส่วนที่มีโอกาสไปขอพร การขอพรให้เกิดโอกาสหาย หรือให้หายแบบปาฏิหาริย์มีความเป็นไปได้น้อยมาก แต่ตามคำบอกเล่าก็ใช่ว่าไม่มี ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับกรรมของผู้ป่วย และกรรมสัมพันธ์ของคุณกับผู้ป่วย เคยหนุนนำกันมาหรือเปล่า ถ้าเคย ลองเอาบุญที่ได้กระทำร่วมกันมาไปขอพร สร้างพลังบวกให้ตัวคุณเอง เช่น “หากลูกกับคุณ ก. เคยทำบุญร่วมกันมา ขอบุญนั้นช่วยหนุนนำให้คุณ ก. หายป่วยโดยเร็ววันด้วยเถิด” การขอพรลักษณะนี้เรียกว่า ถามหาสัญญาเก่า ซึ่งตัวเราก็ไม่รู้ว่ามีหรือไม่มี แค่คิดว่าอาจจะมี เพราะถ้าเรากับเขาเคยทำบุญร่วมกันมาบ้าง ถึงจะมีโอกาสส่งผลต่อพรนั้นได้ ถ้าคุณไปขอลอย ๆ โดยที่ไม่มีกรรมดีเคยสร้างร่วมกันมา โอกาสเกิดผลแทบจะไม่มี ก็จะมีความเชื่อเดียวที่พอเป็นไปได้คือ “เขา กับเทวดาที่คุณไปขอ มีกรรมสัมพันธ์กัน”
อยากให้ครอบครัวมีความสุข ก็ต้องพิจารณาไปก่อนว่า ทุกวันนี้ มีความสุขดีแล้วหรือยัง ถ้ามีอยู่แล้ว อยากจะมีความสุขเพิ่มขึ้น ก็ทบทวนไปก่อนว่า “ลูกตั้งใจจะทำสิ่งนี้ ขอให้ครอบครัวมีความสุขเพิ่มขึ้น” ตรงส่วนนี้สิ่งที่จะทำ ก็ต้องสอดคล้องกับนิยามความสุขของครอบครัวด้วยนะครับ ไม่ใช่ว่า “ลูกจะถวายเงินให้วัดทุกเดือน ขอให้ครอบครัวมีความสุข” เงินที่จะถวายวัดเป็นทานของคุณเอง คุณทำ คุณได้ คนอื่นไม่รับรู้ด้วย โอกาสเกิดผลน้อย คำแนะนำที่ดีที่สุดคือ สิ่งที่คุณคิดจะทำต้องสนับสนุนการมีความสุขของครอบครัว เช่น “ลูกและครอบครัวจะไม่พูดโกหกต่อกัน ขอให้ครอบครัวของลูกมีความสุข” คุณได้แต้มบุญไปแล้ว ๑ เพราะการไม่โกหกเป็นศีล เป็นต้น แต่ภารกิจนี้คุณก็ต้องทำความตกลงกับครอบครัวให้ดีว่า ต่อไปนี้เราจะไม่โกหกกันนะ ทุกคนรับทราบ ร่วมกัน เฝ้าระมัดระวังซึ่งกันและกัน เป็นบุญร่วมกัน ความสุขทวีคูณตามหลักการแน่นอนครับ หรือวิธีที่ง่าย ก็คือ เก็บเงินทุกคน คนละกี่บาทก็ว่าไป แล้วบอกกล่าวทุกคนด้วยว่า “เดี๋ยวฉันจะไปทำบุญที่วัดนะ จะไปขอพรให้ครอบครัวเรามีความสุข” เขาก็จะรับรู้วัตถุประสงค์ของทานร่วมกัน แบบนี้เรียกว่าจิตสามัคคี ทานที่ร่วมกันทำก็อาจจะพอมีกำลังเสริมความสุขให้แก่กันและกันได้ เพราะอย่างน้อย พวกเขาก็รับรู้ร่วมกันแล้วว่า จุดประสงค์ของภารกิจบุญคือมีความสุข
อยากให้กิจการเจริญรุ่งเรือง สิ่งที่ต้องพิจารณาเป็นอันดับแรกคือ ตอนนี้กิจการก้าวหน้ามากน้อยแค่ไหน ถ้ามันดีอยู่แล้ว มันดีเพราะอะไร ขายสินค้าตัวนี้ หรือตัวนั้น จุดเด่นของสินค้าใช่ไหม หรือเพราะการนำเสนอ หรือเพราะตัวแทนขาย เราต้องทราบว่าที่ดีอยู่แล้วดีเพราะอะไร ถ้าอยากให้ดีกว่าเดิม เราต้องเพิ่มส่วนนั้นเข้าไป แล้วเอาส่วนที่คิดจะเพิ่มไปขอพร ยกตัวอย่างเช่น ครีมตัวนี้ปังสุดในบริษัท เพราะคุณภาพเป็นพื้นฐาน แต่ที่มันขายดีเพราะคุณละมุนเป็นพรีเซนเตอร์ เวลาขอพรคุณก็บอกกล่าวท่านไปเลยว่า “ขอให้คุณละมุนร่วมงานกับข้าพเจ้าไปนาน ๆ ด้วยความซื่อสัตย์ต่อกัน ข้าพเจ้าจะพัฒนาสินค้าเพิ่มขึ้น ขอความเจริญรุ่งเรืองเพิ่มขึ้นโดยเร็ว” แบบนี้เรียกว่าขอพรแบบตรงจุดขาย ในขณะที่ตรงกันข้าม ถ้ากิจการยังไม่ประสบความสำเร็จ สิ่งแรกคือคุณต้องพิจารณาถึงข้อบกพร่องเสียก่อน เพราะตราบใดที่เราไม่รู้ข้อพกพร่องของกิจการ เราไม่มีทางขอพรใดให้สมปรารถนาได้ เพราะเราไม่ซ่อมตัวเอง หวังให้เทวดาซ่อมให้แบบนั้นไม่เจริญ เราต้องฝึกจิตตัวเองให้เป็น ฝึกที่จะคิด ตรึกตรอง ทบทวนข้อผิดพลาดของตนเอง เมื่อเจอข้อผิดพลาดแล้ว จึงไปขอพร ยกตัวอย่างเช่น กิจการหนึ่งมีข้อผิดพลาดคือส่งของให้ลูกค้าล่าช้า ทำให้เสียกลุ่มลูกค้าไปพอสมควร จึงอธิษฐานว่า “ผมจะจัดส่งสินค้าให้รวดเร็ว จะไม่ให้มีข้อผิดพลาด ขอให้มีคนมาซื้อสินค้าผมเยอะ ๆ ด้วยเถิด” จะเห็นได้ว่า การสร้างกระบวนการคิดแบบสมเหตุสมผล จะช่วยเตือนสติให้เรารู้ข้อผิดพลาดของตนเอง หรือข้อที่เราควรพัฒนา และพัฒนาไปในทิศทางไหน
👇💖ช่องทางการสั่งซื้อหนังสือ💘👇
สามารถสนับสนุนหนังสือเกี่ยวกับศาสตร์พยากรณ์, ตำนานและความเชื่อ, ธรรมชาติบำบัดและสุขภาพ ฯลฯ ของผู้เขียน "ไป๋ล่ง" ได้หลายช่องทาง .. ดังนี้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น