สื่อวิญญาณ องค์เทพ จิตสัมผัสที่ไม่มีจริง แหล่งรวมคนหลงทางที่ช่วยคนหลงทาง อยากให้ชัวร์ต้องพิสูจน์แบบนี้...

 สื่อวิญญาณ องค์เทพ

ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าไปศึกษาพฤติกรรมในกลุ่มสมาชิกที่อ้างตนเกี่ยวกับการมีพลังวิเศษเหนือธรรมชาติในเรื่องของการสามารถสื่อกับดวงจิตดวงวิญญาณ สัมผัสพิเศษหรือที่เรียกว่าสัมผัสที่ 6 มีความเชื่อความสัมพันธ์เกี่ยวกับร่างทรงองค์เทพ และยังยึดมั่นถือมั่นว่าสิ่งที่ตนเองรับรู้นั้นเป็นมูลเหตุแห่งการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์

เฝ้าสังเกตพฤติกรรมทั้งสมาชิกและผู้ดูแลกลุ่มอยู่นานจนได้รับคำตอบว่า เป็นการแอบอ้างพื้นฐานของความเชื่อและสร้างสังคมที่ไม่จรรโลงเท่าไหร่นัก โดยผู้ที่อ้างตนเป็นผู้วิเศษสามารถสื่อสารกับเทพบางองค์ได้ จะจัดแยกประเภทคนลักษณะเดียวกันว่า "ผู้มีมา" ดังนั้นภายในกลุ่มจะมีทั้งคนทั่วไปที่ต้องการความช่วยเหลือและเหล่าผู้มีมาที่จะคอยให้คำปรึกษาต่อคนเหล่านั้น หลายคนจะมีวิธีการอ้างหลักธรรมคำสอนโดยอิงหลักพุทธศาสนาแต่สอดแทรกความเชื่อในการบูชาเทพ เจ้าพ่อเจ้าแม่ ผีบรรพบุรุษ ผสมผสานทั้งพราหมณ์ฮินดูและอารยธรรมตะวันออก โดยที่หลายแนวทางของสมาชิกกลุ่มบางคนเป็นหลักคำสอนที่น่ายึดโยงและน่าเชื่อถือ แต่ในขณะเดียวกันคนที่อ้างตนเป็นผู้วิเศษใช้ชื่อตำหนักตนเองหรือเทพเทวดาที่ตนเองกราบไหว้บูชามาสร้างคำสอน เหมือนจะดึงสติ แต่ผู้เขียนมองว่า ทำให้ผู้อื่นจมปลักในความเชื่อจนเข้าสู่ความงมงายเสียมากกว่า

ประโยคฮิตสำหรับร่างทรงองค์เทพทั้งหลายคือ เวลาที่มีคนเดือดร้อน จะทักแบบหว่านแหว่ามีวิญญาณเด็กตามบ้าง เคยทำกรรมอะไรแบบไหนไว้บ้าง มีแบบนี้ไหม ที่บ้านบูชาสิ่งนี้หรือเปล่า เคยนำของไม่ดีเข้าบ้านไหม เคยทำสิ่งนี้ไหม และเมื่อสอบถามเจาะลึก เช่นผู้เขียนยิงคำถามไปว่า "ถ้าเห็นขนาดนั้นทำไมไม่ถามดวงวิญญาณว่าเขาต้องการอะไรหรือเขามาทำไม?" ร่างทรงเหล่านั้นจะอ้างว่า ถ้าไม่ถามอาการจะรักษาโรคถูกได้อย่างไร มันก็เหมือนกับหมอที่ต้องถามอาการคนไข้ถึงจะรักษาถูก เขาเหล่านั้นบอกว่าการเห็นเพียงแค่สัมผัสรู้แต่บางครั้งชาญวิเศษก็ไม่ได้ทำให้ล่วงรู้รายละเอียดมากนัก
ผู้เขียนเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่า พวกเขามั่นใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่เขาเห็นมันเป็นเรื่องจริง มันคือดวงวิญญาณจริงๆ หรือจิตอันอ่อนด้อยของคุณสร้างภาพมโนขึ้นมาในหัวกันแน่ และคำว่าช่วยคนไม่คิดเงิน จะตีว่าหลอกลวงหากินกับความเชื่อได้อย่างไรนั้น คงต้องย้อนกลับไปว่า ผลของการใส่ความเชื่อแบบของเขา ส่งผลอย่างไรกับผู้คนด้วย เพราะนั่นคือกรรมที่เขาทำกับผู้อื่น แอบอ้างการสร้างบารมี ด้วยความงมงาย ทำไปทำไม ถ้าไม่หวังผลทางใดทางหนึ่ง หลอกแม้กระทั่งตัวเอง แบบนั้นโอเคแน่หรือ?  ยุคสมัยนี้เราจะเห็นการกระทำที่ส่งผลทางอ้อมเสมอ เช่น ไม่คิดเงินแต่ได้คอนเทนต์ ได้ผู้ติดตาม เพื่อประโยชน์แฝง มีถมไปครับ ถ้าผู้อ้างตนเป็นวิเศษไม่เสนอตัว ไม่สร้างตัวตน ใครจะมารู้จักเขา จริงไหม? เขามันก็แค่มนุษย์ธรรมดาคนนึง พี่พยายามเสนอตัวไปเกลือกกลัวเคราะห์กรรมผู้อื่น ใช่หรือไม่? ลองเดินในตลาดคนจะวิ่งมากราบขอความช่วยเหลือเขาหรือเปล่า ... ฉันใดก็ฉันนั้น การอ้างตนเป็นผู้วิเศษย่อมต้องมีผลรองรับเสมอ เหมือนเวลาที่ผู้เขียนสอนหมอดูว่า "ถ้าจะดูดวงชะตาก็เรียกค่าให้คำปรึกษาไปเลย ไม่ต้องอ้างค่าครูอะไร ครูเป็นใคร อยู่ไหน รายได้โอนให้ครูแบบไหน ถ้าจะทำบุญมันเรื่องส่วนตัวของคุณ นั่นมันกิจของคุณ รายได้คือรายได้ อาชีพคืออาชีพ" ด้วยเหตุผลนี้ผมให้เครดิตหมอดู มากกว่าผู้วิเศษชัดเจนครับ 

ตามแนวทางของพระสายปฏิบัตินั้นผู้ที่จะล่วงรู้ปฏิบัติสมาชิกจนได้รับฌานมีดวงตาที่ 3 หรือทิพยจักษุ การมีหูทิพย์หรือทิพยโสต
การกำหนดรู้ใจผู้อื่นได้ หรือเจโตปริยญาน หรือแม้กระทั่งการระลึกชาติล่วงรู้วาระของผู้อื่น จะต้องมีการฝึกฝนอย่างหนักและปฏิบัติอย่างถ่องแท้จึงจะเข้าถึงได้ แต่ด้วยกิเลส ตัณหา โทสะ และการไม่มีหิริโอตัปปะที่พึงสังเกตได้นั้น  ส่งผลให้การจัดการปัญหาภายในกลุ่มเอนเอียง ใครที่ไม่มีความเชื่อหรือศรัทธาในแนวทางของตนจะถูกมองว่าเป็นคนหลง เป็นผู้ไม่รู้ที่อวดรู้ เป็นผู้ไม่มีมาแต่อยากมี มีการกล่าวถึงของจริงของปลอม รู้หมดเห็นหมดแต่ไม่อยากพูด นี่คือคำพูดสวยหรูที่ผู้เขียนสังเกตได้

เมื่อมีกลุ่มนำทางในเรื่องของความเชื่อก็จะมีสมาชิกที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มหลากหลาย การบริหารจัดการของผู้นำกลุ่มไม่ได้ถูกวางไว้อย่างเป็นระบบ ไม่มีการวิเคราะห์และกำหนดบทบาทหน้าที่ชัดเจนระหว่างผู้เดือดร้อนกับผู้ที่คู่ควรให้การช่วยเหลือหรือให้คำปรึกษา กลายเป็นว่าหลายกระทู้ หลาย content ถูกแต่งแต้มไปด้วยความเชื่อเฉพาะบุคคลมากเกินไป 

ผู้เขียนให้ความรู้สึกที่เป็นกลางหากคนที่จะน้อมนำความเชื่อมาใช้ในการแก้ปัญหาให้กับผู้อื่นอย่างจริงใจ ให้คำปรึกษาและแนะนำแนวทางที่ดี แต่สังเกตเห็นน้อยมากและนั่นไม่ได้หมายความว่าไม่มี เพียงแต่ผู้เชี่ยวชาญที่พึงยอมรับควรได้รับการพิสูจน์ รู้จริง เห็นจริง ต้องตอบได้ ไม่มโน แต่คนเหล่านั้น (ถ้ามี) กลับถูกมองเป็นตัวประหลาดภายในกลุ่มเพราะความคิดที่ไม่น้อมนำความเชื่อตามแบบที่ใครชอบใจ สิ่งเหล่านี้คือข้อผิดพลาดที่สังเกตได้ของเหล่าผู้นำกลุ่มที่อ้างตนว่ามีจิตสัมผัส ทั้งที่จริงแล้ว มโนไปเอง อ๊องไปเองทั้งสิ้น

วิธีการพิสูจน์ผู้มีจิตสัมผัส
วิธีการนี้ง่ายมาก หากใครผู้นั้นอ้างตนว่าเห็นวิญญาณพูดคุยสื่อสารได้จริง เขาจะต้องตอบได้โดยที่ไม่ต้องตั้งคำถาม เขาจะต้องล่วงรู้วาระกรรมพูดได้เลย ใคร ชื่ออะไร ทำอะไรมา ซึ่งปัจจุบันก็มีคนมีความสามารถเหล่านี้จริง แต่ไม่อยู่ในกลุ่มที่ผู้เขียนศึกษาพฤติกรรมเลยแม้แต่น้อย และหากมี การชี้ที่ควรจะนำไปในแนวทางมักจะดีเสมอ ซึ่งทุกคนในกลุ่มอุปโลกน์จะพูดเหมือนกันหมดว่า รู้หมดเห็นทุกอย่าง ทำให้ผู้เขียนย้อนคิดมาว่าเป้าประสงค์ที่ถูกต้องของกลุ่มเหล่านี้คืออะไรกันแน่? ช่วยคน? ใช่หรอ? ไม่ใช่รวมกลุ่มคนหลงทาง คลำทางกันเองหรือเปล่า?

เราจะสังเกตพฤติกรรมของเหล่าร่างทรงองค์เทพว่ามีการแสดงอากัปกริยาผิดมนุษย์ พูดภาษาผิดเพี้ยนโดยระบุว่าเป็นภาษาเทพ ทำตัวเหมือนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่บูชาโดยอ้างว่าสิ่งเหล่านั้นเข้ามาสิงสู่ในร่างของตน บางคนเชื่อว่าตนมีองค์พญานาคก็เลื้อยลงไปกับพื้นคำรามเสียงเหมือนสัตว์ บางคนเชื่อว่าตนเป็นตัวแทนของพระแม่บางองค์ก็แลบลิ้นปลิ้นตาแสดงอาการอย่างนั้น พฤติกรรมขาดสติเหล่านี้ ถูกต้องเหมาะสมและสมควรแล้วหรือไม่? 

การทดสอบภูมิญาณโดยผู้เขียน
ผู้เขียนได้ทำการทดสอบ โดยกำหนดจิตบ้าง พูดบ้าง (ผู้เขียนไม่มีพลังวิเศษอะไรนะครับ) พูดออกเสียง คอมเม้นต์เพื่อให้เจ้าตัวรับรู้ จุดธูปบอก เชิญ ลองแกล้งด่า ท้าทาย บอกไปว่า "เอา ถ้าเห็นจริงตอบมาหน่อย ทักมาซิ พิสูจน์หน่อย ถ้ารู้ความคิด รู้ว่าผมทำอะไร บอกอะไร จะยอมกราบเลยมาสิมา" บางคนอ้างตัวเป็นพ่อปู่บลาๆ ผมพูดเลยว่า "ถ้าปู่สื่อสารกับร่างจริง บอกร่างด้วยว่าผมลบหลู่อยู่ พิสูจน์มาซิ อย่างน้อยทำให้ผมตาสว่างสิ ถ้าคุณมีจริง" "เอา ผู้ดูแลกลุ่ม บอกรู้ทุกอย่างไม่ใช่หรอ ทักมาคำเดียวว่า ฉันรู้คุณพูดอะไร เราจะไปกราบขอขมา มาสิมา" ไหนคือคำว่ารู้วาระจิต ไหนคือคำว่าเห็นหมด กระทั่งผมทำการท้าทายแบบเด่นชัด ไหนเล่าคือผู้วิเศษ ซึ่งหลายคนจะบอกว่า "ถึงรู้เค้าก็ไม่คุยกับคุณหรอก" คำตอบนี้คือมโนครับ ผมเป็นคนที่เชื่อและศรัทธาในพลังศักดิ์สิทธิ์ และพลังเทพเจ้า แต่ผมคิดว่า พลังเหล่านั้นพึ่งพามนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์พึ่งพาเขาเสียฝ่ายเดียว และ ผมเคยพิสูจน์มาหลายสำนัก นั่งประจันหน้า คิด เขียน ทดสอบมามาก 99% คือปลอม แน่นอนครับว่า มี 1% ที่ตอบได้อย่างน่าฉงนใจ แต่ไม่ใช่พวกร่างทรงองค์เทพ แต่คือพระอาจารย์สายวิปัสสนา ท่านพูดเพียงว่า "มึงจะสงสัยทำไม ทำไมมึงไม่ปฏิบัติ" กราบนมัสการทันที เพราะท่านพิสูจน์ให้เราได้เห็นดังปราถนา คลายสงสัยในใจได้ดี ดังนั้น การทดสอบนี้ กลับกลุ่มเหล่านี้ เป็นอันไม่เห็นผลครับ กระทั่งตั้งโพสทดสอบสภาวะจิต โดยกำหนดตัวแปร แต่ผลที่ได้มาคือ จับฉ่ายมาก โยงกันไปต่างๆ นาๆ หาเห็นมูลเหตุไม่ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมมั่นใจว่า "ปลอม" ถ้าใครผ่านมาเห็นบทความนี้ คุณสามารถพิสูจน์ตนเองได้เสมอ ผมมีบททดสอบให้คุณ ถ้าถามว่าทำไมต้องทดสอบ ไม่จำเป็น บอกเลยว่า คุณพยายามหนีสอบ ถ้าไม่สอบคุณจะผ่าน และมีใบเซอร์ไปช่วยคนได้อย่างไร จะมามโนแค่คำว่าความเชื่อ แล้วอ้างตนเป็นผู้วิเศษช่วยคนได้อย่างไร ถ้าจะทำเช่นนั้น สู้ทำอาชีพหมอดูทำนายตามศาสตร์พยากรณ์ไปเสีย ยังน่าชื่นชมยิ่งกว่าหรือเปล่า?

การน้อมนำความเชื่อที่ดี
ผู้เขียนมองว่าการที่เราเชื่อและศรัทธาในบางสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดี แต่การน้อมนำความเชื่อและศรัทธามาใช้เป็นองค์ประกอบในการดำเนินชีวิตแบบไม่งมงายเป็นสิ่งที่พึงกระทำมากกว่า พฤติกรรมผู้วิเศษที่ทักไปเรื่อยพูดไปร่ำ ร้อยไปเรียง เป็นพฤติกรรมของผู้ขาดสติ ซึ่งในหลักความเป็นจริงแล้วการได้เกิดมาเป็นมนุษย์นั้น เป็นสิ่งที่วิเศษ และเป็นที่ปรารถนาของผู้ที่ต้องการสร้างสมบุญบารมี เพราะมนุษย์สามารถจับต้องสิ่งของได้ มนุษย์สามารถถวายอุทิศได้ มนุษย์สามารถบำเพ็ญเพียรได้ แม้แต่ภพภูมิขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าชาติสุดท้ายก่อนที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานก็คือมนุษย์ แต่ร่างทรงองค์เทพเหล่านี้ กลับพยายามทำให้มนุษย์เป็นอุปกรณ์ของเทพเจ้า ยกยอสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นวาระสำคัญ ในขณะที่มนุษย์เป็นเพียงกายหยาบที่เต็มไปด้วยกิเลสและเป็นภพภูมิที่ต่ำกว่า

ตามหลักคำสอนจะมีหลายอรรถกถา ที่กล่าวถึงเทพเทวดาจะน้อมจิตลงมาเพื่อรับบุญกุศลที่มนุษย์อุทิศให้ เหล่าพญานาคหรือสัตว์เทพในตำนานก็เฉกเช่นเดียวกัน แต่การให้ความสำคัญของความเป็นมนุษย์นั้นถูกบั่นทอนลงไป ด้วยความเชื่อที่ว่า มนุษย์เป็นภพภูมิที่ต่ำกว่าเทพเทวดานั่นเอง เราจะสังเกตได้ว่าความเชื่อเหล่านี้ เป็นต้นเหตุนำพาความงมงาย การน้อมนำพลังที่อาจจะไม่บริสุทธิ์นักเข้ามาครอบงำสติและจิตใจของตนเองโดยมโนไปว่า "นั่นคือพลังของเทพเทพี" แต่หากมองในมุมกลับกัน ถ้ากลุ่มผู้วิเศษเหล่านี้ มุ่งเน้นในการสร้างตบะการบำเพ็ญเพียรบารมีที่ดี เพื่อน้อมนำให้พลังงานของเหล่าเทพเซียนทั้งหลายมารับอานิสงส์ของตนพฤติกรรมที่แสดงออกมาจะต่างกันโดยสิ้นเชิง 

หลักการคิดที่ย้อนแย้งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อที่ว่า เทวดาเมื่อหมดบุญก็จะต้องลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อสั่งสมบุญบารมีใหม่ ในขณะที่มนุษย์น้อมนำพลังของเทพเทวดามาสิงสู่ตนเพราะความเชื่อว่าต้นมีภพภูมิต่ำกว่าเทพเทวดาเหล่านั้น เมื่อพิจารณาเช่นนี้ เราจะเห็นช่องว่างเล็กๆ ระหว่างความเชื่อของเทวดา กับความเชื่อของมนุษย์ขึ้นมาทันที และนี่คือกลยุทธ์ของเหล่าร่างทรงที่จะบอกกับคนนั้นคนนี้ว่า คุณมีเทพองค์นี้คุ้มครอง คุณมีเทวีองค์นี้อยู่ด้วย คุณจะต้องรับขันธ์แบบนี้ คุณจะต้องบูชาแบบนั้น พลังของเทพเทวีองค์นั้นถึงจะประทานให้กับคุณ แนวคิดในเรื่องของการบำเพ็ญเพื่ออุทิศบุญให้กับเทพเทวี ไม่มีการสานต่อแต่อย่างใด

เราจะเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้มีผู้ที่อ้างตนว่าสื่อสารกับเทพเจ้าบางองค์ได้ ได้รับฟังเสียงกระซิบจากเทพเจ้าเหล่านั้น ล่วงรู้เหตุการณ์ในอดีตปัจจุบันและอนาคต แต่ผู้เขียนอยากให้ท่านที่ศรัทธาน้อมนำสติมาสู่ตน พึงปฏิบัติที่ตนเองหากคุณเชื่อมั่นในศรัทธาความเชื่อบางอย่าง หากคุณเชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์บางสิ่ง คุณจะต้องน้อมกายและใจปฏิบัติตามแนวทางของพุทธศาสนา เมื่อกายพร้อมใจพร้อมจิตถึงพร้อม สิ่งเหล่านี้จะเข้ามาหาคุณเอง ผู้เขียนเป็นคนหนึ่งที่ศรัทธาในความเชื่อหลากหลาย แต่ไม่สนับสนุนพฤติกรรมของผู้ที่สร้างความงมงายในทุกรูปแบบ เราเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ผู้ประเสริฐ ถึงแม้ในอดีตเราจะทำกรรมใดไว้ก็ตาม แต่เมื่อเรารับรู้แล้วในวาระกรรมเหล่านั้น เราจะสามารถหยุด ละ เลิก เพื่อประกอบกรรมดีต่อไปในภายภาคหน้า เมื่อบุญเราถึงพร้อม เทพเทวีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จะน้อมรับบุญกุศลที่เราอุทิศปฏิบัติให้ และประทานพรให้กับคุณเอง การที่คุณแสวงหาไปตามตำหนักร่างทรงองค์เทพ การไปน้อมรับบูชานับถือใครเป็นครูบาอาจารย์ เป็นสิ่งที่นำพาสู่ความงมงาย การนำพาจิตตนเองไม่จำเป็นต้องมีครูอาจารย์ในสายวิชาหรือร่างทรงองค์เทพมาเบิกเนตรเบิกจิตให้ แต่ให้คุณเดินเข้าวัดกราบพระอาจารย์ที่สอนกรรมฐานเป็นครูของคุณเอง การปฏิบัติที่ไม่ต้องการแสวงหาหรือล่วงรู้ เป็นแนวทางแห่งความรู้จริง รู้แท้ และรู้ด้วยธรรม ผู้เขียนไม่อยากให้คนทั่วไปที่เริ่มมองหาที่พึ่งทางใจแล้วถูกตำหนักร่างทรงต้มตุ๋นหลอกลวง ไม่ว่าจะคำพูดสวยหรูหรือกลวิธีใดก็ตาม ไม่ว่าจะเรียกค่าครูหรือไม่เรียกค่าครูก็ตาม อะไรที่ทำให้เราขาดสติและไม่เป็นตนเอง น้อมนำพลังงานจะด้านบวกหรือด้านลบก็ตามเข้าสู่ร่างกายตนเองจนขาดสติ มันก็ไม่ต่างกับการที่คุณเอารถยนต์ส่วนตัวให้ผู้อื่นขี่ เขาจะขับไปชนตอนไหนก็ไม่รู้ หรือเขาอาจจะขับไปถึงจุดหมายโดยเร็วแค่ไหนเราก็ไม่ทราบ จะดีกว่าไหมถ้าคุณขับรถของคุณเองด้วยสติ มองซ้ายมองขวาอย่างรอบคอบ ไม่ต้องพึ่งพาหรือฝากชีวิตไว้กับผู้อื่น และนี่คือแนวคิดที่ผู้เขียนอยากฝากไว้ให้กับทุกคนนะครับ

"เรานั้นหนาเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ที่ประเสริฐ เป็นสัตว์ที่สามารถดำเนินชีวิต สร้างความสำเร็จ สร้างแรงปรารถนา เปิดวาสนาให้ตนเอง สร้างทานบารมีให้ตนเอง ท่านสามารถทำได้ทุกสิ่งที่ท่านพึงปรารถนา ด้วยแรงกรรมของท่าน กรรมคือผลของการกระทำ อยากให้ตนเองประสบความสำเร็จ ท่านพึงเพียรพยายามกระทำในสิ่งที่ไม่ขัดต่อศีลธรรมและเป็นที่ยอมรับในหน้าที่การงานของท่าน อยากเปิดวาสนา ท่านพึงสร้างทานบารมีประกอบบุญกิริยาวัตถุ 10 ท่านทำได้ด้วยตัวท่านเอง ไม่ต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างหากที่ต้องพึ่งมนุษย์" 

ฝากไว้ให้คิดและดึงสตินะครับทุกคน ผู้เขียนไม่มีเจตนาจะโจมตีร่างทรงองค์เทพให้ย่อยยับ แต่อยากให้เขาเหล่านั้นตั้งสติกับการดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสมมากกว่า ถ้าใครจะมองว่าความเชื่อของฉันเป็นเรื่องงมงาย คนที่ไม่เชื่อแบบฉันก็งมงายเหมือนกัน คืองมงายกับความไม่เชื่อ? นี่เป็นวิธีคิดแบบใต้ตมสิ้นดีครับ เราจะไม่น้อมนำความไม่เชื่อของใครมาเป็นความงมงายเด็ดขาด สาเหตุเพราะความไม่เชื่อ ไม่ใช่ต้นตอของความงมงายอย่างไรล่ะครับ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะครับขอให้น้อมนำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ไปอะไรไปกระทบจิตใจทำให้ไม่พอใจผู้เขียนขออภัย กรรมกรรมเป็นสิ่งที่คุณกำหนดได้เองเลือกเอานะครับว่าคุณจะทำกรรมแบบไหน
สวัสดีครับ.... 

ความคิดเห็น

คนชอบอ่าน

ความหมายของไพ่บุคคล “ควีน ออฟ วานส์” (QUEEN OF WANDS)

ความหมายของไพ่บุคคล “ควีน ออฟ เพนตาเคิลส์” (QUEEN OF PENTACLES)

ความหมายของไพ่บุคคล คิง ออฟ คัพส์ (KING OF CUPS)

ความหมายของไพ่ "เดอะ เวิลด์" (THE WORLD) สอนอ่านไพ่ยิปซี