เวทมนตร์และสิ่งลี้ลับมีจริงหรือไม่? อะไรคือศาสตร์เวทมนตร์?

ในขณะที่กระแสนิยมพุทธวจนํ กำลังถูกเผยแพร่ตีแผ่ในสังคม ความสงสัยเรื่องของศาสตร์เวทมนตร์ก็ผุดขึ้นในใจของใครหลายคนว่า "มันมีอยู่จริงหรือไม่" และก่อนที่เราจะทำความเข้าใจเรื่องเหล่านี้ ให้คุณตัดภาพพ่อมด/แม่มด ที่ร่ายมนตร์ด้วยไม้คาถา เสกสิ่งของให้ลอยได้หรืออะไรใด ๆ ออกไปก่อน แล้วมาทำความรู้จักกับคำว่า "เวทมนตร์" กันเสียก่อนนะครับ

คำว่า "เวท" อาจหมายรวมถึง ความรู้ หรือความรู้อันศักดิ์สิทธิ์บางประการ
ส่วนคำว่า "มนตร์" หมายถึง บทสวด, คาถา, หรือถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์
เมื่อรวมกันแล้ว เวทมนตร์ คือ "ถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดจากความรู้" อาจจะเป็นความรู้ทางศาสนา หรือลัทธิบูชาอะไรใด ๆ ก็ตามแต่ท้องถิ่นภูมิประเทศ

คนไทยด้วยกันมักจะด้อยค่าหรือตีความว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องงมงาย เพราะกระแสสังคม การปลูกฝังความคิดหรือค่านิยมใหม่ ๆ เกี่ยวกับศาสนาพุทธ ที่อ้างถึงเพียงถ้อยคำจากพระโอษฐ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยไม่พิจารณาไตร่ตรองประวัติศาสตร์ ความเป็นมา การเปลี่ยนผ่านยุคสมัย หรือแม้กระทั่งการล่าอาณานิคมในสมัยโบราณ ที่เป็นบ่อเกิดใหญ่ของการพึ่งพาไสยศาสตร์เป็นที่พึ่ง และในความเป็นจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้หยั่งรากฝังลึก รวมถึงแฝงอยู่ในแทบจะทุกอารยธรรมทั่วโลก ไม่ใช่เพียงแค่ประเทศไทยเท่านั้น และในทางกลับกัน ต่างประเทศกลับให้ความสนใจที่จะศึกษาอย่างเป็นระเบียบตามรูปแบบงานวิจัยที่เป็นไปได้มากที่สุด เพื่อวิเคราะห์ถึงภูมิหลัง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม หรือแม้กระทั่งวิเคราะห์พฤติกรรมของกลุ่มชน อันเป็นรากฐานของอัตลักษณ์ชุมชนเหล่านั้นก็มีให้เห็นอยู่มากในงานวิจัยระดับโลก ในขณะที่คนไทยผู้่ตื่นรู้บางกลุ่ม นั่งบูลลี่ความเชื่อความงมงาย และตราหน้าว่าเป็นบ่อนทำลายความเจริญของประเทศตน ...


เป็นความย้อนแย้งอย่างหามิได้ เมื่อกลุ่มผู้ศึกษาพุทธศาสนา แต่มองข้ามเรื่องของการวิปัสนากรรมฐาน ไม่พิจารณาฌาน ไม่พิจารณาอภิญญาที่เป็นผลพลอยได้แห่งฌาน แต่กระโดดข้ามไปหยิบเอาคำว่า "นิพพาน" มาเป็นตัวตั้งตัวตีในการเหยียดทุกความเชื่อที่ไม่สามารถไปสู่นิพพานได้ว่าเป็นการหลงทาง หลงผิด ไม่ใช่พุทธศาสนิกชนที่แท้ทรู ดังนั้น ... ไม่ว่าจะมีกระแสดราม่าอะไรใด ๆ เกิดขึ้นในสังคมออนไลน์ กลุ่มคนเหล่านี้จะออกมาแสดงความคิดเห็นตอบโต้เหน็บแนมอย่างแซ่บ ยกตนอวดภูมิความรู้ว่าฉันนี้ตื่นแล้ว ฉลาดแล้ว พวกงมงายคือคนโง่ นั่นไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ ไม่ใช่จุดมุ่งหมายของนิพพาน ใครเชื่อสิ่งเหล่านี้มีแต่จะห่างไกลคำสอนไปเรื่อย ๆ และสุดท้่าย มีการขนานนามว่า "ไม่ใช่ชาวพุทธ" หรือ "นับถือพุทธแค่บัตรประชาชน"

ผู้เขียนมองว่า เป็นการแสดงเจตจำนงอย่างโง่เขลาเบาปัญญา เพราะเป็นตรรกะย้อนแย้งและเติบโตอย่างที่สุดในสังคมที่ศึกษาแบบฉาบฉวย เอาสนุก เอาคอนเทนต์ ไม่ต่อยอดความรู้ทางศาสนาอย่างแท้จริง นับแต่โบราณกาลมานั้น เป็นที่รู้่กันว่า จะศึกษาพระธรรมคัมภีร์ให้แตกฉาน ต้องเริ่มอ่านบาลีให้เป็น และฝึกกรรมฐานตามลำดับ ในส่วนของคนทั่วไป ก็แค่ .. ต้องรู้จักที่จะนำมาปฏิบัติแบบเป็นลำดับขั้นตอน เป็นคนธรรมดาเริ่มจากศีล 5 ให้ได้เสียก่อน อย่าพึ่งไปวิงวอนพระนิพพาน เพราะนิพพานไม่ใช่ของง่าย ไม่ใช่ของที่ใคร ๆ ก็ไปถึงได้เพียงเพราะหยิบยกมาเป็นสโลแกนตัดทุกข์

เมื่อเกิดดวงตาที่มืดบอดเหล่านี้ ทำให้คนบางกลุ่มมองว่า "ศาสตร์เวทมนตร์เป็นสิ่งงมงาย" หรือ ไม่มีอยู่จริง ซึ่งเมื่อย้อนไปพิจารณาอย่างที่กล่าวตอนต้นก็จะเห็นได้ว่า คนเหล่านี้กระโดดข้ามเรื่องกรรมฐานและอภิญญาไปเสียสิ้น หรือมองว่า จะสนใจไปทำไม ไม่ใช่หนทางที่ควรยึดมั่น เพราะเป็นเหตุแห่งทุกข์ไม่สามารถพุ่งเป้าไปสู่นิพพานซึ่งเป็นทางสายตรง และเมื่อพูดวนกลับมาจุดนี้ ก็เข้าสู่ย่อหน้าก่อน นั่นก็คือ เอาศีล 5 ให้ได้ก่อนนั่นเอง 55

ที่ต้องกล่าวเปรียบเปรยให้เห็นภาพทางด้านความเชื่อของศาสนา ก็เพราะป้องกันนักบุญทุศีลทั้งหลายออกมาวิจารณ์อย่างไร้ปัญญา เก่งแต่ทฤษฎีแต่ไม่นำไปปฏิบัติ ท่องบ่นเป็นอาขยาน แต่จิตใจตกต่ำลงทุกวัน นั่งไถฟีด มัวเมาในวัตรปฏิบัติว่าเป็นหนทางพ้นทุกข์ ถูกกลืนกินด้วยคำโป้ปดของนักธรรมลวงโลก หรือพฤติการณ์หยาบช้าของนักการตลาดในคราบผู้เผยแพร่พระศาสนา ที่มีให้เห็นมากมายในสังคมปัจจุบัน

ในความเป็นจริงแล้ว #ศาสตร์เวทมนตร์ทั่วโลก ล้วนมีพื้นฐานมาจากรากเดียวกันคือ "การฝึกจิต" หรือที่คนไทยรู้จักกันในคำว่า "ทำสมาธิ" และการฝึกจิตนี้ เกิดขึ้นหลายพันปีที่ผ่านมา จากข้อสันนิษฐานว่า อาจจะเกิดจากการที่มนุษย์รวมกลุ่มเป็นชนเผ่า เป็นหมู่บ้าน และมีการนั่งล้อมวงรอบกองไฟ หรือการที่ผู้นำทางด้านจิตวิญญาณของชุมชนเริ่มที่จะฝึกทบทวนความรู้ของตนเอง จึงเกิดเป็นการนั่งสมาธิขึ้น และถูกจำแนกวิธีการในการฝึกไปในรูปแบบต่าง ๆ มากมาย เช่น การร้องเพลงสรรเสริญศาสดาของตน, การสวดมนต์, การท่องโศลก, การจดบันทึก อ่าน เขียน ทบทวนความรู้เชิงจิตวิญญาณ ฯลฯ

เมื่อมนุษย์รู้จักการฝึกจิต และเข้าใจในกำลังจิต จึงเกิดเป็นศาสตร์เวทมนตร์แขนงต่าง ๆ ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเพ่ง, การร่าย, การรวมจิตไปที่สิ่งของ, การหยิบยืมพลังธรรมชาติมาใช้ผ่านวัตถุธาตุ เช่น หินแร่, ควอตซ์, โลหะ ฯลฯ เรียกสิ่งเหล่านี้ว่าการ #เล่นแร่แปรธาตุ หลอมรวมเข้ากับการฝึกจิต และเข้าใจได้ว่า จิตของมนุษย์นั้น ก่อให้เกิดสิ่งอัศจรรย์ได้หลากหลาย รวมถึงคนสมัยโบราณไม่ได้ใช้ชีวิตวุ่นวายเหมือนเราท่านในปัจจุบัน จึงมีเวลาที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับศาสตร์ของการฝึกจิตอ่ย่างลึกซึ้ง จนกลายเป็นเรื่องเล่าขานสืบต่อกันมาว่า ครูบาอาจารย์ในสมัยก่อนจะสามารถเสกเป่าคาถาอาคมได้เก่งกาจและเห็นประจักษ์แก่สายตาชาวบ้านมากมายนัก

พอกล่าวถึงเรื่องพลังของจิต ในทางวิทยาศาสตร์การแพทย์นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็ศึกษาค้นคว้ากันมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราเข้าใจได้ว่า ระบบประสาทสัมผัสของมนุษย์ อันสืบเนื่องมาจากกระแสไฟฟ้าภายในร่างกาย การเชื่อมโยงกันเป็นโครงข่ายของสมอง สู่กระดูกสันหลัง สู่เส้นประสาท สู่การทำงานระดับเซลล์ ระดับอะตอม จนก้าวล้ำมาสู่ระดับอนุภาคของอะตอม หรือกระทั่งการศึกษาฟิสิกส์ควอนตัมที่ยังหาข้อสรุปสมมุติฐานที่ชัดเจนไม่ได้ในปัจจุบัน ล้วนได้รับความสำคัญในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว และไม่ถูกด้อยค่าด้วยคำว่า "งมงาย" เหมือนประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศ

เมื่อพูดถึงเรื่องอำนาจจิต และความเชื่อมโยงของพระสงฆ์ในเมืองไทย นับแต่โบราณจะมีการปลุกเสกเลขยันต์ ร่ายคาถา ลงอาคม ซึ่งแน่นอนว่าหนีขี้ปากแกงค์นิพพานคอนเซ็ปต์ไม่ได้ แต่เมื่อพิจารณาตามหน้าประวัติศาสตร์ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นนับแต่อดีตที่มีศึกสงคราม เหล่าทหารล้มตายจำนวนมาก ประเทศในแถบเอเชียผู้ได้รับสืบทอดความเชื่อทางศาสนาที่มีอิทธิพลควบคู่กันคือ พุทธและพราหมณ์-ฮินดู หรือกระทั่งพิธีกรรมบางอย่างที่สืบทอดในเชิงของศาสนาผีดั้งเดิม จึงทำให้มีการใช้ไสยศาสตร์เพื่อเป็นที่พึ่งของชาวบ้าน ของนักรบ ในยามศึกสงคราม ที่พึ่งเดียวคือพระสงฆ์ ไม่ว่าจะเป็นขอน้ำมนต์, ล้างคุณไสยมนตร์ดำ, ปลุกเสกเลขยันต์ เพื่อความคงกระพันชาตรี เพื่อการรบที่จะมีชัยชนะ เพื่อการปกป้องผืนแผ่นดินไทย

สิ่งเหล่านี้ก็เป็นมูลเหตุหนึ่งที่วิชาอาคมต่าง ๆ สืบทอดมาทางสายพระสงฆ์ผู้เป็นเกจิอาจารย์ และเลือนหายไปกลายเป็นเรื่องเล่าขาน เพราะปัจจุบันมรณะภาพไปจนเกือบหมดแล้ว หลงเหลือไว้เพียงค่านิยมในการปลุกเสกพระเครื่อง หรือเครื่องลาง วางจำหน่ายตามวัดวาอาราม จนถูกตราหน้าว่าเป็นพุทธพาณิชย์นั่นเอง

สิ่งที่ผู้เขียนพยายามอธิบายให้ฟังนั้น เพื่อให้คิดเปรียบเทียบได้อย่างเข้าใจว่า "ศาสตร์เวทมนตร์นั้นมีอยู่จริงทั่วทุกมุมโลก" เป็นศาสตร์ที่มีที่มาที่ไปอย่างไร และในปัจจุบันถูกมองไปในทิศทางไหน ความหลงผิดของกลุ่มผู้ศึกษาธรรมแต่ไม่ปฏิบัติธรรมคืออะไร และศาสตร์เวทมนตร์ถูกกล่าวถึงในมุมของของพุทธศาสนาอย่างไร และเมื่อคุณเข้าใจองค์ประกอบเหล่านี้ คุณจะหาคำตอบให้ตนเองได้ว่า สิ่งใดจริง สิ่งใดไม่จริง สิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร ... ไม่รู้จะจบอย่างไร ขอตัดฉากเลยแล้วกัน ... ขอบคุณครับที่อ่านจนจบ 555


ความคิดเห็น

คนชอบอ่าน

ความหมายของไพ่บุคคล “ควีน ออฟ วานส์” (QUEEN OF WANDS)

ความหมายของไพ่บุคคล “ควีน ออฟ เพนตาเคิลส์” (QUEEN OF PENTACLES)

ความหมายของไพ่บุคคล คิง ออฟ คัพส์ (KING OF CUPS)

ความหมายของไพ่ "เดอะ เวิลด์" (THE WORLD) สอนอ่านไพ่ยิปซี