ยุคนี้ ไหว้พระคือเชย หรือคือพลัง?
"ไหว้พระยังจำเป็นอยู่เหรอ?"
"หรือมันกลายเป็นกิจกรรมเชยๆ ที่คนรุ่นพ่อแม่ยังพออินอยู่?"
แต่ถ้าลองสังเกตให้ดี เราจะพบว่าท่ามกลางความวุ่นวายของโลกสมัยใหม่ การกลับไปหาสิ่งที่ดู "เรียบง่าย" และ "เก่า" อย่างการไหว้พระ อาจเป็นคำตอบที่หลายคนตามหา โดยไม่รู้ตัว
ไหว้พระคือความเชย… จริงหรือ?
ยอมรับกันตามตรงว่า ในสายตาของคนบางกลุ่ม “ไหว้พระ” ดูจะขัดกับภาพลักษณ์ของยุคนี้ที่เน้นความทันสมัย มีเหตุผล และวัดผลได้แทบทุกอย่าง การจุดธูปพนมมืออยู่หน้าพระพุทธรูปอาจไม่ "เท่" เท่ากับการไปวิ่งมาราธอน ถ่ายรูปคู่กับคำคมบนกำแพง หรือทำคอนเทนต์ลง TikTok ว่าตื่นตี 5 เพื่อพัฒนาตัวเอง
แต่ในขณะเดียวกัน เราก็เห็นคนจำนวนไม่น้อยที่ยังคงไหว้พระ ขอพร เดินสายทำบุญ แม้จะใช้ iPhone รุ่นล่าสุด ใช้ชีวิตแบบ urban lifestyle เต็มรูปแบบ บางคนพกธูปติดรถเหมือนพกสายชาร์จ บางคนแม้ไม่ใช่สายมูเต็มขั้น ก็ยังหาเวลาว่างไปวัดเพื่อ “พักใจ”
เหตุผลไม่ใช่เพราะเชย
แต่เพราะคนเรายังต้องการบางสิ่งที่จับต้องไม่ได้
บางสิ่งที่ไม่มีในระบบปฏิบัติการใดๆ
นั่นคือ "ความสงบ"
หรือจริงๆ แล้ว… ไหว้พระคือพลัง?
ในยุคที่ทุกคนต้องรับมือกับความเครียด ความกดดัน และความไม่แน่นอนจากทั้งเศรษฐกิจ การงาน และชีวิตส่วนตัว การไหว้พระกลายเป็นกิจกรรมที่เรียบง่าย แต่ช่วยให้จิตใจนิ่งขึ้น
ไหว้พระไม่จำเป็นต้องหมายถึงความงมงาย
แต่คือการให้เวลากับตัวเอง 5–10 นาที
หยุดวิ่ง หยุดเลื่อนฟีด หยุดเปรียบเทียบ และ "อยู่กับตัวเอง" อย่างแท้จริง
แม้การพนมมือขอพรจะไม่เปลี่ยนโชคชะตาทันที
แต่ก็อาจเปลี่ยนวิธีที่เรามองโลก และตอบสนองต่อมัน
มันไม่ใช่พลังมหัศจรรย์แบบซูเปอร์ฮีโร่
แต่เป็นพลังเล็กๆ ที่ทำให้เราก้าวต่อไปได้ในวันที่ใจเรากำลังจะล้มความศรัทธา ไม่เคยล้าสมัย
ในยุคที่ทุกคนต้องรับมือกับความเครียด ความกดดัน และความไม่แน่นอนจากทั้งเศรษฐกิจ การงาน และชีวิตส่วนตัว การไหว้พระกลายเป็นกิจกรรมที่เรียบง่าย แต่ช่วยให้จิตใจนิ่งขึ้น
ไหว้พระไม่จำเป็นต้องหมายถึงความงมงาย
แต่คือการให้เวลากับตัวเอง 5–10 นาที
หยุดวิ่ง หยุดเลื่อนฟีด หยุดเปรียบเทียบ และ "อยู่กับตัวเอง" อย่างแท้จริง
แม้การพนมมือขอพรจะไม่เปลี่ยนโชคชะตาทันที
แต่ก็อาจเปลี่ยนวิธีที่เรามองโลก และตอบสนองต่อมัน
มันไม่ใช่พลังมหัศจรรย์แบบซูเปอร์ฮีโร่
แต่เป็นพลังเล็กๆ ที่ทำให้เราก้าวต่อไปได้ในวันที่ใจเรากำลังจะล้มความศรัทธา ไม่เคยล้าสมัย
การไหว้พระในปัจจุบันไม่ได้จำกัดแค่ในศาสนาพุทธเท่านั้น
คนรุ่นใหม่หันไปหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในหลายรูปแบบ ทั้งการไหว้เทพเจ้าจีน พระพิฆเนศ หรือแม้แต่ “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในใจ” ที่ไม่มีรูปร่าง แต่ให้ความรู้สึกมั่นคงเหมือนกัน
ความศรัทธาไม่ได้วัดกันด้วยการเชื่อแบบไม่มีเหตุผล
แต่วัดกันที่ “สิ่งนั้นทำให้เรากลับมาเป็นคนที่ดีขึ้นได้หรือเปล่า?”
ถ้าการไหว้พระทำให้เรานึกถึงบุญคุณพ่อแม่
ทำให้เราหยุดคิดก่อนจะพูด ทำให้เรากลับมาโฟกัสกับเป้าหมาย
นั่นก็คือพลัง
ไม่ต้องเรืองแสง ไม่ต้องมีคำทำนาย ก็เปลี่ยนเราได้สรุป: แล้วไหว้พระคือเชย หรือคือพลัง?
คำตอบคือ: ขึ้นอยู่กับ “เจตนา” และ “มุมมอง” ของแต่ละคน
ถ้าเราไหว้เพราะหวังจะรวยทางลัด แล้วโกรธเวลาพระไม่แจกโชค แบบนั้นอาจจะต้องถามตัวเองว่า “พระผิด หรือเราหวังแปลกไป?”
แต่ถ้าเราไหว้เพราะอยากพักใจ อยากตั้งหลัก อยากขอบคุณสิ่งดีๆ ในชีวิต หรือแค่เตือนตัวเองว่า “ยังมีอะไรที่ควรน้อมต่ำลงบ้าง” แบบนี้ไม่ใช่เชยเลย
กลับเป็นพลังที่หาได้ยากในยุคที่ทุกอย่างเร่งรีบและเปรียบเทียบกันตลอดเวลาสรุป
สุดท้ายนี้… ไม่ว่าเราจะเลือกไหว้พระ หรือไม่ไหว้เลย
สิ่งสำคัญคือ เรามีพื้นที่เล็กๆ ให้ใจได้พักบ้างหรือเปล่า?
เพราะในยุคที่โลกหมุนเร็ว การได้หยุดนิ่งสักครู่ อาจไม่ใช่การถอยหลัง
แต่มันคือการก้าวไปข้างหน้าอย่างมีสติ และอาจมีพลังมากกว่าที่คิด
สิ่งสำคัญคือ เรามีพื้นที่เล็กๆ ให้ใจได้พักบ้างหรือเปล่า?
เพราะในยุคที่โลกหมุนเร็ว การได้หยุดนิ่งสักครู่ อาจไม่ใช่การถอยหลัง
แต่มันคือการก้าวไปข้างหน้าอย่างมีสติ และอาจมีพลังมากกว่าที่คิด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น