บั้งไฟพญานาคของจริงมีลักษณะแบบนี้ ... ตามรอยตำนานเล่าขานลุ่มน้ำโขง
#บั้งไฟพญานาคของจริงเป็นแบบไหน?
วันนี้มีเรื่องมาเล่าให้ฟังอีกแล้วนะครับทุกคน เป็นประสบการณ์ในวันวานอันหวานฉ่ำ เมื่อครั้งที่เฝ้าสงสัยคลางแคลงใจในปรากฎการณ์ต่าง ๆ ที่ใครต่อใครบอกว่าพิสูจน์ไม่ได้ ... ใช่ครับ ... ผู้เขียนเป็นคนหนึ่งที่เฝ้าสงสัยเรื่องผีสางเทวดามาตั้งแต่เด็ก ถามว่าวัยเด็กกลัวผีไหม กลัวมากถึงมากที่สุด จิตหลุดจิตหลอนนอนไม่หลับกันเลยก็มี
แต่เมื่อ ณ ห้วงเวลาหนึ่ง เราได้ผ่านประสบการณ์ผีผีมาบ้าง 😅 มันทำให้เรารู้ตัวว่า "อ้อ .. เราไม่ได้กลัวผีเลยสักนิด" แต่นั่นก็เป็นเหตุการณ์หลังจากที่ไปเฝ้าสังเกตการณ์ดูบั้งไฟพญานาคเมื่อประมาณปี 2554-2555 ที่ต้องพิมพ์แบบนี้เพราะจำไม่ได้จริง ๆ ว่า ไปตอนปีน้ำท่วมหลังถัดมา แต่ที่แน่ ๆ คือวันออกพรรษาในปีนั้นพอดี เดินทางคนเดียว นั่งเครื่องไป สะพายเป้กับหิ้วเต็นท์สนามไปกางที่ท่าน้ำวัดไทยโพนพิสัย
ไอ้เรื่องนี้พอจะเล่าทีไรก็ต้องระมัดระวังพวกหัวโบราณประเภท เอาคำว่างมงายมาตบหัวคนไปทั่วโซเชียล ที่ต้องใช้คำว่าหัวโบราณเพราะโลกในยุคสมัยใหม่เขาเปิดกว้างเรื่องการศึกษาภูมิหลังความเชื่อและตำนานพื้นบ้านกันอย่างมากแล้ว และในวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ก็มีแขนงวิชาที่พยายามหาข้อพิสูจน์สิ่งลี้ลับมากมายที่หาข้อสรุปไม่ได้ เรียกได้ว่า ระดับประเทศที่พัฒนาแล้วเขาให้ความสนใจ ในขณะที่คนไทยหัวโบราณพวกนี้ท่องอาขยานแต่คำว่า "งมงาย"
ที่ต้องออกตัวแรงก็เพราะการเล่าอะไรที่พิสูจน์ไม่ได้ จะได้รับการเย้ยหยัน ถากถาง เหน็บแนม กระแนะกระแหน จากพวกหัวโบราณนั่นแหละครับ ประมาณว่า "แน่จริงตั้งกล้องถ่ายมาพิสูจน์สิ" อะไรทำนองนั้น ... แต่ในความคิดของผมนะ ต่อให้ปัจจุบันมีคนถ่ายสิ่งลี้ลับออกมาได้จริง ก็จะถูกบูลลี่ด้วยจิตใจอัตคัดว่าเป็นเอไอ เป็นของปลอมอยู่ดี 🤣
กลับมาสู่เรื่องลาวที่จะเล่าให้ฟัง ว่าได้ไปกางเต้นท์ที่ท่าน้ำวัดไทย ในวันนั้นเวลาบ่ายโมงกว่า ๆ ก็มีเพื่อนร่วมทางมากางเต้นท์ ปูเสื่อ มีร้านค้ามากมาย มีการแสดงเล็กน้อย ก็คงไม่เยอะเท่างานในปัจจุบันที่จัดใหญ่ จัดเต็ม และถนนหนทางก็มีความเจริญขึ้นมากแล้ว แต่ในสมัยนั้น ยังเรียบง่าย สบาย ๆ น่าเที่ยวอยู่พอสมควร
เมื่อเวลาทุ่มกว่า ๆ ก็เริ่มมีการจุดพลุไฟขึ้นจากฝั่งประเทศลาวเป็นระยะ พอขึ้นลูกนึง คนไทยก็เฮกันทีนึง ที่บอกว่าเป็นพลุไฟเพราะมันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ครับ มันไม่ใช่ผุดจากกลางแม่น้ำ มันเห็นชัดเจนเลยว่ายิงขึ้นจากฝั่ง .. ส่วนตัวผมคิดว่า คนที่เห็นว่าผุดจากกลางน้ำ อาจจะมี 2 ประเภท คือ ฟ้ามืดมาก จนมองไม่เห็นว่าตรงที่ขึ้นเป็นฝั่งหรือเป็นน้ำ กับ คนที่เห็นว่ามีดวงไฟประหลาดขึ้นจากน้ำจริง ๆ
สิ่งที่ผมจะเล่าต่อไปนี้คือ ความประหลาดอย่างที่ว่านั่นแหละครับ เพราะเมื่อเกิดความเบื่อหน่ายจากการจัดกิจกรรมหลอกลวงระดับจังหวัด เวลาห้าทุ่มกว่า ทุกคนที่นอนค้างก็เริ่มเข้าเต็นท์ เตรียมพักผ่อนกัน ร้านรวงต่าง ๆ ก็พากันเก็บของออกไปจนเกือบหมด ด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ อุตส่าห์ซื้อตัวเครื่องบินมาดู แต่กลับเห็นแต่คนจุดพลุที่ริมฝั่ง ผมจึงนั่งสมาธิสักครู่ แล้วอธิษฐานว่า "หากลูกมีกรรมสัมพันธ์อันใดกับสิ่งที่จะมาพิสูจน์ด้วยตาในวันนี้ ก็ขอให้ได้เห็นเป็นบุญตาสักครั้งเถิด" และเมื่อลืมตาขึ้น ก็ยังคงเป็นความว่างเปล่า กับเสียงก๊อกแก๊ก ๆ ของพ่อค้าแม่ขายที่เก็บของยังไม่เสร็จอีกสามสี่ร้านเห็นจะได้ จนผมถอดใจจะเข้าเต็นท์นอน ในขณะที่จะเปลี่ยนอิริยาบถ ก็ปรากฎดวงไฟลอยขึ้นจากฝั่งแม่น้ำโขง ติดกับศาลาวัดไทยโพนพิสัย ลอยขึ้นอย่างนั้น ช้า ๆ ทีละลูก ลูกแรก และลูกที่สอง ลอยตามติดกันขึ้นไปจนเลยศาลาท่าน้ำวัดไทย และดับลงตรงหน้าผม เห็นจะจะ จัง ๆ ขึ้นจากน้ำ เด็กวัยรุ่นที่นั่งกินเบียร์ในศาลาแตกฮือ พ่อค้าแม่ค้าที่เก็บของอยู่ พากันสาธุเสียดังลั่น
เห็นแบบนั้นจึงเขย่าเต้นพี่สุ พี่สาวที่ไปกับลูกชายและคุณแม่ เพื่อให้มารอตั้งกล้องเพื่อจะได้ภาพวิดีโอเก็บเป็นที่ระลึก แต่พี่สุไม่ทันแม้แต่จะได้เห็นสองลูกดังกล่าว แถมออกมานั่งรอเก้ออีกเกือบครึ่งชั่วโมง ... ในยุคนั้น ไม่ได้มีโซเชียลจ๋าเหมือนปัจจุบันครับ ไม่มีการไลฟ์สด กระทั่งกล้องก็ยังเป็นโทรศัพท์รุ่นโบราณ สิ่งเดียวที่จะยืนยันได้ว่า สิ่งที่ผมเห็นเป็นเรื่องจริง คือกลุ่มวัยรุ่นที่นั่งในศาลา กับพ่อค้าแม่ขายที่หลงเหลือ ผมจึงเดินไปถามคนเหล่านั้น เขาบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่เคยเห็นใกล้ขนาดนี้้ แต่เห็นกลางน้ำเป็นเรื่องปกติ ไม่แปลกใจอะไร
นี่แหละครับ #บั้งไฟพญานาค ของแทร่ ที่เราเห็นกันได้ด้วยตาเปล่าจริง ๆ การจะพยายามไปตั้งกล้องอย่างไรใด ๆ บอกเลยว่ายากมาก และในชีวิตนี้ คุณจะมีโอกาสสักกี่ครั้งที่จะได้เห็น ... มีคำกล่าวของคนพื้นที่มากมายนะครับ ทั้งฝั่งไทยฝั่งลาว เขาจะบอกว่า ไม่จำเป็นต้องออกพรรษาเขาก็เห็นกันบ้าง ตามห้วย ตามบึง ที่สงบ ร่มเย็น กลางดึกก็มีดวงไฟผุดขึ้นจากน้ำเป็นปกติ ยิ่งคนลาวนี่เขาไม่ตื่นเต้นกันเลย เพราะเขามองเป็นเรื่องธรรมดา ผู้เฒ่าผู้แก่เห็นกันจนชิน
สำหรับใครที่คิดว่าจะไปเที่ยวงานออกพรรษาที่หนองคาย ก็เตรียมใจไว้ก่อนนะครับว่า อาจจะได้ไปเห็นแค่งานประเพณี กับปืนพลุไฟที่เขาจุดกัน และไม่ใช่แค่เราเห็นฝั่งลาวจุด คนลาวที่เขาถ่ายคลิป เขาก็เห็นขึ้นจากฝั่งไทยเหมือนกัน กลายเป็นกุศโลบายผลักดันการท่องเที่ยวแบบผิด ๆ ไปสักหน่อย ถึงแม่พ่อเมืองจะออกมายืนยันว่า สิ่งที่จะได้เห็นในงานมีทั้งของจริงและพลุไฟ แต่มันก็ไม่ควรจัดโปรโมทการท่องเที่ยวด้วยคำว่า "สิ่งมหัศจรรย์ของโลก" หรือเป็นอันซีนอะไรขนาดนั้น ก็ฝากไว้พิจารณานะครับท่าน แก้ไขสักหน่่อยเป็น "เทศกาลจุดพลุไฟเป็นพุทธบูชา" อะไรก็ว่าไป จะออกแนวเป็นตัวแทนพญานาคถวายพลุไฟก็ได้ แต่ไอ้ประเภทสิ่งมหัศจรรย์ไม่ควรกล่าวอยา่งเต็มปาก เพราะมันจะทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศเสื่อมเสียครับผม ต่างชาติเขาจะมองว่าเราโง่งมงายเอาได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น