มุทราสูตรกับระบบจักระ
(วิดิโอประกอบบทความ)
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จักระหลัก จะถูกอ้างอิง 4-7 จักระ และในศาสนาพราหมณ์-ฮินดูในยุคโบราณ ก็ไม่มีฉันทามติเกี่ยวกับจำนวนจักระ เนื่องจากถูกพัฒนาและตีความกันไปแตกต่างกันตามนิกาย หรือสำนักต่าง ๆ เรียกได้ว่าเป็นการศึกษาที่ค่อนข้างอิสระ จนกระทั่งยุคลัทธิตันตระศักตินิยมของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ระบบจักระได้รับการพัฒนาอย่างกว้างขวาง และเมื่อกล่าวถึงจักระในพุทธศาสนานิกายตันตระที่แยกมาจากวัชรยาน ก็นิยามจักระสำคัญไว้ 5 จักระ รวมถึงระบุธาตุให้กับจักระเหล่านั้น โดยการเชื่อมโยงไปกับนิ้วมือทั้ง 5 ของมุทราสูตรในลำดับต่อมาอีกด้วย แนวคิดเหล่านี้จึงกล่าวได้ว่า “มุทราสูตร” ที่อ้างอิงกันในปัจจุบัน อาจจะสืบทอดจากการอ้างอิงหลัก 5 ธาตุ ที่เรียกว่า “ปัญจะภูตา” โดยยึดแนวคิดพื้นฐานธาตุคือ ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ และอากาศธาตุ มาเป็นตัวตั้ง รวมถึงการจับคู่ธาตุกับจักระ และนิ้วมือทั้ง 5 อีกทั้งยังกำหนดมุทราที่สอดคล้องเพื่อนำมาใช้ในการกระตุ้นจักระหรือเพื่อการฝึกสมาธิอีกด้วย
แนวทางมุทราสูตรที่ให้ไว้จะมีทั้ง 2 แบบ คือจักระมุทราสูตรประยุคจากนักเทวศาสตร์ตะวันออก กับจักระมุทราตามสูตรปัญจะภูตา ซึ่งก็สามารถใช้ได้ทั้งสองแบบตามตารางนะครับ
จากตารางดังกล่าวนี้จะเห็นได้ว่า มีแนวคิดการเชื่อมโยงจักระที่แตกต่างกันระหว่างนิ้วมือทั้งห้า ข้อมือ และฝ่ามือ ซึ่งจากการศึกษาและปฏิบัติของผู้เขียนพบว่า การยึดหลักใดหลักหนึ่งก็ใช้ได้ เป็นการทบทวนความจำได้ดีเรื่องของระบบจักระ ซึ่งสูตรประยุคจะเป็นวิธีที่ง่าย เพราะใช้หลักจำเพียงแค่ 4 นิ้ว คือ นิ้วชี้ จักระ 5, นิ้วกลาง จักระ 3, นิ้วนาง จักระ 6 และนิ้วก้อย จักระ 4 แต่ละนิ้วที่จีบกับนิ้วโป้งก็คือ จักระใดก็ตามมาจรดกับจักระ 2 เป็นวิธีที่ง่ายแต่ไม่ตรงธาตุประจำจักระ ดังนั้น เวลาที่ใช้หมุนจักระจะคล่องและจำง่ายกว่า แต่อยากให้ลองศึกษาปัญจะภูตาสูตรให้เข้าใจด้วย โดยหลักใหญ่ก็คือใช้มุทราพลังธาตุมาหมุนให้ตรงกับธาตุของจักระ เพื่อสร้างแรงขับเคลื่อนตามระบบธาตุนั่นเองครับ
ตัวอย่างท่ามุทราทั้ง7แบบ
จักระ 1 มูลธาร (Muladhara) หรือ กุณฑาลินี (Kundalini) หรือ เซอร์เพนทีน(Serpentine)
แบบสากลเรียกว่าจักระราก หรือ Root Chakra สัญลักษณ์แทนคือดอกบัว 4 กลีบ สีแดง ตำแหน่งอยู่ตรงกลางฝีเย็บระหว่างอวัยวะเพศและทวารหนัก เป็นขุมพลังของแต่ละชีวิต ทำหน้าที่ดูดซับพลังงานจากงูไฟ หรือกุณฑาลินี ที่ผุดขึ้นมาจากใจกลางโลกและแผ่ขึ้นมาบนผืนดินบริเวณที่มีความร้อนเช่น ภูเขาไฟ น้ำพุร้อน หรือผ่านต้นไม้ใหญ่ขึ้นมาก็เป็นได้ กล่าวกันว่า เวลาที่เรามีเรี่ยวแรงทำอะไรอย่างมหาศาล เช่น ตกใจบ้านไฟไหม้แล้วยกตู้เย็นคนเดียวได้ หรือ วิ่งหนีอะไรสักอย่างได้เป็น 10 กิโล เพราะคิดว่าเห็นผี ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นพลังกระตุ้นจากมูลธารจักระทั้งสิ้น จักระนี้ดูแลโครงสร้างกระดูกของร่างกาย, เส้นผม, เล็บมือ, เล็บเท้า, เส้นเอ็น และกล้ามเนื้อ เป็นรากฐานพลังงานของอวัยวะทั้งหมด
ในความเชื่อมโยงของมุทราตะวันออก จักระ 1 อยู่ที่บริเวณข้อมือ (ภาพตัวอย่าง อนันตมุทรา Ananta Mudra) เสมือนว่าข้อมือคือฐานรากของจักระที่เหลือ เป็นขุมพลังที่จะส่งพลังไปใช้ในยามที่ร่างกาย หรือจิตของผู้ฝึกต้องการใช้มัน หากควบคุมพลังส่วนของจักระที่ 1 ได้ ก็จะสามารถบรรลุเป้าหมายของการฝึกได้รวดเร็วขึ้น แต่ก็ยังเน้นย้ำเหมือนเดิมว่า หากใครคิดจะฝึกเพื่อไปรักษาผู้คน หากเป็นการบำบัดทางจิตใจ เพิ่มพลังใจ แบบนั้นแนะนำให้ทำ แต่ถ้ารักษาโรคชนิดอื่น แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เท่านั้น
ในระบบปัญจะภูตา ใช้ปฤถวีมุทรา Prithvi Mudra มุทราแห่งโลกและผืนดิน (ฝึกเมื่อเปิดจักระอื่นแล้วเท่านั้น) โดยการแตะปลายนิ้วนางกับนิ้วโป้งเบา ๆ ปล่อยนิ้วที่เหลือตามสบาย กล่าวกันว่ามุทรานี้ฝึกเพื่อลดความเครียด ลดความอ่อนแอ เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต เพิ่มมวลกระดูก สร้างความเชื่อมั่นในการนำพาผู้คนไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์ เพิ่มพลังในการย่อยอาหาร มุทรานี้รู้จักกันในชื่อมุทราแห่งดิน ช่วยปรับสมดุลมูลธารจักระหลังจากตื่นอย่างสมบูรณ์แล้วเท่านั้น สถานที่ฝึกควรนั่งขัดสมาธิบนพื้นดิน พื้นปูนที่มีความเย็นของดิน หรือพื้นหินอ่อน, ก้อนหิน, โขดหิน, พื้นถ้ำ เป็นต้น
แบบสากลเรียกว่า จักระศักดิ์สิทธิ์ หรือ Sacral Chakra สัญลักษณ์คือดอกบัว 6 กลีบ สีส้ม อยู่ตำแหน่งใต้สะดือเหนืออวัยวะเพศตัดไปถึงปลายสุดก้นกบ เป็นศูนย์กลางของอารมณ์ ความทะยานอยาก ความต้องการที่ไม่ผ่านการขัดเกลา ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของระบบสืบพันธุ์ มดลูก รังไข่ ช่องคลอด อัณฑะ ท่อปัสสาวะ อวัยวะเพศ ทวารหนัก ทวารเบา (ปัสสาวะ)
ในความเชื่อมโยงของมุทราตะวันออก จักระ 2 อยู่ที่ปลายนิ้วโป้ง ตรงนี้พอให้เราจับจุดได้แล้วนะครับว่า การผสานมือขวาทับมือซ้าย นิ้วโป้งจรดกันตามแบบสมาธิพื้นฐานที่เราคุ้นเคยก็มีแนวคิดมาจากมุทราสูตรนี้ เรียกว่าธยานมุทรา Dhyana Mudra เชื่อกันว่าจะช่วยให้มีกำลังในการเผชิญและเอาชนะอุปสรรคได้ เป็นท่าร่างการฝึกสมาธิเพื่อค้นพบเส้นทางแห่งจิตวิญญาณในแง่ของการฝึกปราณ นิ้วโป้งคือรากฐานของการแสวงหาความรู้ และเป็นการควบคุมสภาวะร่างกายให้นั่งสมาธิได้นานยิ่งขึ้น
หากขุมพลังคือจักระ 1 แล้ว จักระที่ 2 ก็จะทำหน้าที่ในการดึงเอาพลังเหล่านั้นมาใช้ เป็นความต้องการกระทำหรือต้องการใช้งานในพลังดังกล่าวด้วยตัวผู้ฝึกเอง หรือเป็นการกรอกข้อมูลความต้องการ แรงผลักดัน สิ่งเร้าที่เกิดขึ้นลงไปที่จักระ 2 แล้วจักระ 1 ทำงานตอบสนองอัตโนมัติก็ว่าได้
สำหรับปัญจะภูตาสูตร จักระนี้ใช้วรุณมุทรา Varun Mudra (บางตำราเรียกว่าชลามุทรา Jala Mudra) ในการฝึก เพราะความเชื่อมโยงที่ว่า จักระที่ 2 นี้เป็นธาตุน้ำ แตะปลายนิ้วก้อยกับปลายนิ้วโป้งและจัดวางในท่าที่ถนัด หากฝึกบนธารน้ำหลากได้จะดีมาก หากไม่ได้ก็ใช้เสียงน้ำไหลเข้าช่วยสมาธิ
หากเทียบกับศาสตร์ปราณของจีน ตำแหน่งนี้จะถูกเรียกว่า “ตันเถียน ล่าง” เป็นจุดรวมปราณสำคัญ ควบคุมระบบย่อยอาหารเพื่อแปรเปลี่ยนเป็นพลังงาน และการขับถ่ายของเสีย ทำงานสอดคล้องกัน คุณจะเข้าใจมากขึ้นหลังได้เรียนรู้เกี่ยวกับปราณตะวันออกต่อจากเรื่องปราณจักระที่กำลังศึกษาอยู่นี้ และคุณจะเห็นความเชื่อมโยงที่สอดคล้องกันอย่างไม่น่าเชื่อ
จักระที่ 3 มณีปุระ (Manipura)
แบบสากลเรียกว่า จักระแสงอาทิตย์ หรือ Solar Plexus Chakra สัญลักษณ์คือดอกบัว 10 กลีบ สีเหลือง ตำแหน่งบริเวณบั้นเอว ตรงกับแนวสะดือ ดูดซับพลังงานจากดวงอาทิตย์ และกระจายพลังที่ได้รับออกไปยังอวัยวะต่าง ๆ เป็นขุมพลังการเผาผลาญพลังงานและเป็นจุดศูนย์กลางของร่างกาย ควบคุมการทำงานของ ท้อง ตับ ไต ม้าม ถุงน้ำดี กระเพาะอาหาร ลำไส้ ระบบการย่อยอาหารและการขับถ่าย รวมถึงระบบเผาผลาญพลังงานไปสู่ร่างกายอีกด้วย
ในความเชื่อมโยงของมุทรา จักระ 3 อยู่ที่ปลายนิ้วกลาง หมายถึง การบำบัดรักษา ความอุดมสมบูรณ์ การโปรดสัตว์ และความเจริญในโภคทรัพย์สมบัติ มุ่งเน้นไป ที่การฝึกเพื่อสุขภาพร่างกายอีกด้วย ท่านี้จะตรงกับชูนิมุทรา Shuni Mudra บางตำราก็เรียกอากาศมุทรา Akasha Mudra
ถ้าเปรียบจักระรากเป็นขุมพลังที่ยิ่งใหญ่ภายในกายมนุษย์ และจักระศักดิ์สิทธิ์เป็นความต้องการที่จะดึงเอาพลังงานเหล่านั้นมาใช้ ดังนั้นจักระแสงอาทิตย์ก็เปรียบเสมือนเครื่องจักรเติมพลังงาน เมื่อการย่อยอาหารและสารอาหารที่ได้จะถูกลำเลียงจากลำไส้เล็กไปสู่หลอดเลือดและท่อน้ำเหลือง เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย แน่นอนว่า หากระบบเผาผลาญดี ก็จะเสริมสร้างให้จักระรากแข็งแรงตามไปด้วย จักระแสงอาทิตย์เกี่ยวข้องโดยตรงกับระบบขับเคลื่อนให้ร่างกายมีชีวิตไม่ต่างจากลมหายใจเลยทีเดียว ระบบเมตาบอลิซึม (Metabolism) ซึ่งก็คือปฏิกิริยาเคมีที่เกิดขึ้นภายในเซลล์ของร่างกาย เพื่อเปลี่ยนอากาศให้เป็นพลังงาน Adenosine Triphosphate (ATP) และพลังงานเหล่านี้จะถูกนำไปใช้เพื่อการหายใจ, ใช้ในระบบหมุนเวียนโลหิต, การย่อยอาหาร, การซ่อมแซมและสร้างเซลล์ใหม่, ควบคุมการทำงานของฮอร์โมนและอุณภูมิของร่างกาย เป็นต้น อีกทั้งระบบเผาผลาญเมตาบอลิซึมยังทำงานตลอด 24 ชั่วโมงอีกด้วย พลังงาน ATP ที่ถูกเก็บสะสมในกล้ามเนื้อแต่ไม่มากนัก หากร่างกายมีการเรียกใช้ก็จะหมดไปและเซลล์จะต้องสร้าง ATP ใหม่ทดแทน
ในส่วนของปัญจะภูตาสูตร ใช้อัคนีมุทรา Agni Mudra (บางตำราเรียกว่ามุทราแห่งสุริยันต์ Surya Mudra) นิ้วหัวแม่มือแตะทับนิ้วนางดังภาพ ช่วยเพิ่มการชำระล้างและส่งผลโดยตรงต่อระบบเผาผลาญ เลือกนั่งรับแสงอาทิตย์ยามเช้าจะส่งผลดีต่อการฝึกอย่างมากต่อสุขภาพ
ดังนั้น มีความเป็นไปได้ว่า การฝึกปราณจักระจะช่วยให้เซลล์ในร่างกายสามารถทำงานได้สูงกว่าคนปกติทั่วไป เช่นการกักเก็บพลังงานได้มากขึ้น นานขึ้นกว่าปกติที่บริเวณจักระที่ 1 หรือที่เซลล์กล้ามเนื้อส่วนอื่นก็อาจเป็นไปได้ สังเกตได้จากคนที่ออกกำลังกาย ร่างกายจะมีความแตกต่างจากคนที่ไม่ออกกำลังกาย ระบบย่อยอาหารของคนที่ออกกำลังกายจะทำงานได้ดีกว่าคนไม่ออกกำลังกาย กล้ามเนื้อก็จะแข็งแรงกว่า สามารถยกของได้หนักกว่าคนปกติ หรือมีความแข็งแกร่งในความสามารถเฉพาะตน
แบบสากลเรียกว่า จักระหัวใจ หรือ Heart Chakra สัญลักษณ์คือดอกบัว 12 กลีบ สีเขียว อยู่ตำแหน่งกลางกระดูกสันหลังแนวเดียวกับหัวใจตัดผ่านมากลางหน้าอก เป็นขุมพลังแห่งความรัก ความเห็นอกเห็นใจ ความรู้สึกปลอดภัย การให้อภัย ควบคุมการทำงานของหัวใจ ส่วนหนึ่งของการหายใจ มีคุณสมบัติที่เกี่ยวข้องกับความรัก ความร่าเริง ความสุข
ในความเชื่อมโยงของมุทรา จักระ ๔ อยู่ที่ปลายนิ้วก้อย ดังนั้น การจรดนิ้วโป้งกับนิ้วก้อยในลักษณะนี้ หมายถึง การสื่อสารบนพื้นโลกทุกชนิด เช่น จิตวิญญาณ พลังงานรอบตัว สัตว์ ต้นไม้ หรือมนุษย์ทั่วไปก็ตาม ท่วงท่ามุทรานี้ก็คือ “วรุณมุทรา” ตามที่ได้แสดงไปแล้วในจักระ 2
จักระหัวใจจะเชื่อมโยงกับระบบการทำงานดังที่อธิบายไปแล้วเกี่ยวกับระบบหายใจ ที่จะต้องมีการสูบฉีดเลือดดีไปเลี้ยงเซลล์อวัยวะ และส่งผ่านเลือดที่พร่องออกซิเจนกลับไปสู่ปอด หัวใจเปรียบเสมือนธนาคารเลือดภายในร่างกาย มีหน้าที่ในการเปลี่ยนถ่ายแก๊สผ่านหลอดเลือด สูบฉีดไปหล่อเลี้ยงทั่วทุกอวัยวะ อนาหตะจักระหัวใจ จึงมีหน้าที่ดึงพลังงานในจักรวาลมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจ สร้างความรัก ความเมตตา เป็นบ่อเกิดแห่งความสามัคคี รวมถึงระบบไหลเวียนโลหิตที่ดีขึ้น
แบบสากลเรียกว่า จักระคอ หรือ Throat Chakra สัญลักษณ์คือดอกบัว 16 กลีบ สีฟ้า อยู่บริเวณตำแหน่งกระดูกต้นคอตัดมาที่ลำคอเหนือกล่องเสียง ควบคุมระบบทางเดินหายใจ เซลล์ผิวหนัง ต่อมไทรอยด์ คอ ปาก ลิ้น หลอดลม ไซนัส
ในความเชื่อมโยงของมุทรา จักระ 5 อยู่ที่ปลายนิ้วชี้ ดังนั้น การจรดนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ หมายถึง การกระตุ้นปัญญาเพื่อช่วยเสริมสร้างสมาธิ ท่ามือนี้จะตรงกับฌานมุทรา และวิตรรกมุทรา Vitarka Mudra ในท่วงท่าที่พระหัตถ์ขวาของปางแสดงธรรมแสดงมุทรานี้
กล่าวกันว่า หากจักระนี้ทำงานอย่างสมบูรณ์ จะทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ส่งผลต่อการพูด การสื่อสาร กล่องเสียง การหายใจ บำบัดโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ และเสริมสร้างบุคลิกภาพภายนอกอย่างมาก วิสุทธิจักระ จะเปิดรับพลังจักรวาลเพื่อเปิดระบบดูแลอวัยวะที่เกี่ยวข้องดังกล่าวข้างต้น รวมถึงจักระคอนี้ยังเป็นตัวกำหนดเส้นปราณ เป็นองค์ประกอบ ในการฝึกที่สำคัญ รวมถึงเป็นระบบหล่อเลี้ยงชีพที่ทำงานอัตโนมัติตลอด 24 ชม. อีกเช่นเดียวกัน และจุดสังเกตคือ จักระ 5 กับจักระ 4 จะทำงานร่วมกันเหมือนระบบการหายใจแลกเปลี่ยนแก๊สของมนุษย์ตามสรีรวิทยาเบื้องต้นที่ได้อธิบายไปแล้ว ซึ่งแนวคิดเหล่านี้จะมีผลเรื่องลำดับการฝึกฝนปราณจักระเป็นอย่างมาก และเป็นเรื่องที่ผู้ฝึกฝนอีกมากยังไม่รู้ แต่เมื่อคุณได้อ่านตำราเล่มนี้ จะทำให้คุณรู้ก่อน ฝึกได้ก่อน เห็นผลด้วยตนเอง
พื้นฐานการฝึกปราณจักระ เพื่อให้การทำงานของร่างกายส่งเสริมกับจุดเปิดจักระ เริ่มตั้งแต่การสูดลมหายใจเข้าไปจนสุดท้องน้อยดังกล่าวหลังจากนั้นปอดทำการแลกเปลี่ยนแก๊สและส่งต่อไปที่หัวใจ หัวใจก็ทำการสูบฉีดเลือดไปสู่เซลล์ร่างกายทุกส่วน ดังนั้น ผู้ฝึกปราณจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเข้าใจจักระ 4-5 ก่อนเป็นสำคัญ คือกำหนดรู้ เข้าใจลมหายใจของตัวเอง รู้ตื้นลึกของการสูดลมหายใจของตน เปิดจักระและดูแลสองระบบนี้ให้ดีร่วมกันทั้งจักระ 3-4-5 ก็จะสามารถเข้าใจระบบการทำงานของจักระอื่นเพิ่มเติมได้ สิ่งสำคัญของผู้ฝึกคือ ต้องเรียนรู้ สัมผัส และเข้าใจร่างกายตนเองอย่างถ่องแท้ เพราะถ้าแม้แต่ระบบขับเคลื่อนชีวิตง่าย ๆ เหล่านี้เรายังปฏิเสธ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะเรียนต่อไปครับ
แต่ทั้งหมดทั้งมวล การฝึกปราณจะเร่งจะรีบไม่ได้ ให้ไปทีละขั้นตอนแบบเข้าใจ จะช่วยร่นระยะการฝึกได้มากกว่า ซึ่งทั้งวิธีการหายใจ และวิถีกานฝึกก็ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การหายใจเข้าออกเพียงเท่านั้น เทคนิคพิเศษที่จะช่วยเร่งการฝึก ผู้เขียนจะอธิบายไปทีละฉากทีละตอน ไม่ต้องใจร้อน ฝึกฝน 1 วันก็เห็นผล 1 วัน ขอแค่ฝึกแบบเข้าใจทุกระบบให้ดีเสียก่อนเป็นพอ
ในความเชื่อมโยงของปัญจะภูตาสูตร จักระนี้ใช้ ชุนยะมุทรา Shunya Mudra มุทราแห่งความว่างเปล่า หรือสุญตามุทรา ดังภาพ บางตำราใช้ อากาศมุทรา Akasha Mudra โดยให้เอาปลายนิ้วกลางจรดปลายนิ้วโป้ง บ้างก็จะเรียกอากาศมุทราว่า ชูนิมุทรา Shuni Mudra เพื่อฝึกการสร้างสมดุลจักระ ส่งเสริมการได้ยินและการพูด รักษาระบบหายใจและหลอดลม ควบคุมการทำงานของกล่องเสียง การเปล่งวาจา หรือพลังเสียง
เมื่อศึกษามาถึงตรงนี้ คุณจะเห็นได้ว่า บางมุทราแสดงท่วงท่าเหมือนกัน แต่กลับมีชื่อเรียกต่างกัน ตรงส่วนนี้บอกได้เลยว่าการสืบทอดต่างสำนัก ต่างสถานที่ ยิ่งเป็นอะไรที่ยาวนานมานับพันปีย่อมผิดเพี้ยนไม่ตรงกันเป็นธรรมดา แต่สำหรับความคิดเห็นส่วนตัวผู้เขียนคิดว่า ไม่มีอะไรผิด อะไรถูก ทุกอย่างสัมพันธ์กันเหมือนใยแมงมุม ไว้เข้าเรื่องสูตรปฏิบัติจะเข้าใจมากขึ้นครับ ตอนนี้ศึกษาพื้นฐานกันให้จบเสียก่อน
จักระที่ 6 อาชณะจักระ (Ajna)
แบบสากลเรียกว่า จักระตาที่สาม หรือ Third Eye Chakra สัญลักษณ์คือดอกบัว 6 กลีบ สีน้ำเงินคราม ตำแหน่งอยู่ศูนย์กลางหน้าผากระหว่างคิ้วทั้งสอง หรือตำแหน่งตาที่สาม ควบคุมการทำงานของสมองส่วนหลังและระบบปราสาท การรับรู้ด้วยการมองเห็น และการได้ยิน คือการฝึกเกี่ยวกับสัมผัสที่ 6 สามารถมองเห็นในสิ่งที่ตาเนื้อมองไม่เห็นหรือจิตสัมผัส จักระนี้หลายคนเข้าใจผิด พยายามเพ่งจิตสร้างจินตภาพไปสู่จุดกึ่งกลางหน้าผาก ซึ่งนั่นไม่ใช่จุดศูนย์รวมพลังของจักระ 6 นะครับ จุดที่ต้องเพ่งคือบริเวณที่ท้ายทอยตัดมาสู่หว่างคิ้ว ตั้งอยู่ตรงสมองส่วนหลัง ตามตัวอย่างด้านล่าง เพื่อให้เข้าใจและเห็นภาพชัดเจนขึ้น
จากภาพ หมายเลข 6.1 คือจุดที่เราใช้หมุนจักระเพื่อการฝึกเปิดรับพลังจักรวาล สร้างจินตภาพและความรู้สึกที่บริเวณดังกล่าว ส่วนหมายเลข 6.2 คือจุดที่เราจะใช้พลังจักรวาล ในกรณีของคนที่จะใช้ตาที่สามเพ่ง หรือมองบางสิ่งบางอย่าง เชื่อกันว่า เมื่อฝึกถึงระดับหนึ่งแล้วจะสามารถเห็นภาพจำลองขึ้นมาได้จากการจ้องมองสิ่งเหล่านั้น ซึ่งภาพจำลองนั้นอาจเกิดขึ้นในหัว หรือเป็นภาพซ้อนในบุคคล สถานการณ์ตรงหน้า หรืออื่นใดก็ตาม เป็นเรื่องที่ผู้ฝึกจะแยกแยะได้ด้วยจิตของตนเอง ส่วนหมายเลข 7 ก็คือตำแหน่งของจักระที่ 7 นั่นเอง
หน้าที่ของสมองโดยสังเขป
ภายในสมองประกอบด้วยเซลล์ประสาทมากถึง 90% ในวัยผู้ใหญ่จะมีเซลล์สมองนับแสนล้านเซลล์ แตกแขนงออกไปเชื่อมต่อกันเป็นร่างแหขนาดใหญ่ เมื่อได้รับข้อมูลหรือความรู้สึกภายนอกเข้ามากระตุ้น เซลล์สมองจะส่งข้อมูลในรูปกระแสไฟฟ้าผ่านจุดปลายประสาทแอกซอน (Axon) ที่อยู่ภายในเซลล์สมองเหล่านั้น แล้วกระแสไฟฟ้าก็จะถูกเปลี่ยนเป็นสารเคมีที่เรียกว่า “สารสื่อประสาท” เพื่อทำให้ร่างกายรับรู้ข้อมูล เช่น การรับสัมผัส เห็นภาพ ได้กลิ่น เมื่อร่างกายตอบสนองก็จะสั่งการให้กระทำ
สมองมี 3 ส่วน คือ สมองส่วนหน้า, สมองส่วนกลาง และสมองส่วนหลัง สมองส่วนหน้า (Forebrain) ก็จะมีซีรีบรัม (Cerebrum) และแบ่งออกเป็นซีกขวากับซีกซ้าย โดยสมองซีกซ้ายควบคุมการทำงานของร่างกายซีกขวา ส่วนสมองซีกขวาควบคุมการทำงานของร่างกายซีกซ้าย
ในส่วนของซีลีบรัม (สมองใหญ่) จะแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ สมองกลีบหน้า (Frontal lobe) จะมีหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหว, ความคิด, การวางแผน, การแก้ปัญหา, การตัดสินใจ, ความจำ, สติปัญญา, บุคลิกภาพ, การควบคุมอารมณ์ และความสามารถในการใช้ภาษา สมองกลีบข้าง (Temporal lobe) ทำหน้าที่รับการได้ยิน, การดมกลิ่น, ความเข้าใจด้านภาษา, การรับรู้เกี่ยวกับความทรงจำ, การรับรู้วัตถุ, การพูด และการฟัง สมองส่วนพาไรเอทัล (Parietal lobe) หรือสมองกลีบกลาง ทำหน้าที่ในการรับรส, ความรู้สึกจากการสัมผัส, อุณหภูมิ, การเข้าใจตนเอง, การแยกแยะหรือเปรียบเทียบตนเองกับสิ่งแวดล้อมรอบกาย และความเจ็บปวด สมองกลีบหลัง (Occipital lobe) ทำหน้าที่ควบคุมการมองเห็น การรวมภาพที่เห็นเข้ากับประสบการณ์และความรู้สึก
ทั้งนี้ทั้งนั้นการทำงานของสมองในส่วนของซีลีบรัมทั้งหมด ไม่ได้แยกขาดจากกันโดยสิ้นเชิง เหมือนการสร้างมโนภาพจากประสบการณ์ที่เคยเห็น หรือการสร้างจินตภาพจากจินตนาการสุดล้ำลึก เหล่านี้ล้วนเป็นการบูรณาการจากสมองหลายส่วนที่ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างและจัดการภาพในจิตใจของเรา เหมือนกับที่ทราบกันอยู่แล้วว่า สมองซีกขวา จะทำหน้าที่เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ การสังเคราะห์ ความซาบซึ้งดื่มด่ำ อรรถรสในดนตรีและศิลปะ อีกทั้งยังถูกกล่าวถึงในเรื่องของฌาน หยั่งรู้ เป็นการประมวลผลที่อยู่เหนือขอบเขตและเหตุผล ความรู้สึกนึกคิด จิตใจ ความเห็นอกเห็นใจ การแสดงออกทางสีหน้าท่าทาง ล้วนมาจากการทำงานของสมองซีกขวาอีกเช่นเดียวกัน
และเมื่อกล่าวถึงสมองซีกซ้าย ก็จะทำงานตามหลักการและเหตุผล การแสดงออกเชิงนามธรรม คือจัดการข้อมูลอย่างเป็นระเบียบ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทางภาษา หรือการคิดคำนวณทางคณิตศาสตร์ การกระทำบางสิ่งบางอย่างเป็นขั้นเป็นตอนอย่างละเอียด ทางด้านความคิดอาจส่งผลด้านลบ เพราะระมัดระวังความผิดพลาดของตนเองมากเกินไป ตรรกะ เหตุผล วิจารณญาณ ล้วนอยู่ที่การสั่งการจากสมองซีกซ้ายทั้งสิ้น
ในส่วนของสมองส่วนกลาง (Midbrain) อันเป็นที่ตั้งของจักระ 7 นั้น ก็มีความสำคัญในการรับส่งกระแสประสาทระหว่างสมองส่วนหน้า กับสมองส่วนหลัง และสมองส่วนหน้ากับนัยน์ตา ควบคุมการเคลื่อนไหวของลูกนัยน์ตา และควบคุมการเปิดปิดของม่านตา และนี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ ผู้ฝึกพลังจักรวาลบางสำนักบอกว่า เวลาใช้พลังด้านการรักษา ห้ามมิให้หลับตา เพราะต้องการใช้นัยน์ตาเป็นสื่อเชื่อมต่อสมองส่วนกลางนั่นเอง
ในส่วนของการส่งกระแสประสาทออกไปสู่ส่วนต่าง ๆ รวมถึงการรับกระแสประสาทผ่านอวัยวะต่าง ๆ ผ่านศูนย์คัดแยกกระแสประสาทเรียกว่า ทาลามัส (Thalamus) หน้าที่หลักคือ สมองสั่งการ ทาลามัสรับคำสั่งและส่งคำสั่งเหล่านั้นผ่านก้านสมอง, ไขสันหลัง สู่เส้นประสาทของอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับคำสั่งนั้น และอวัยวะก็ทำตามคำสั่งดังกล่าว ในทางกลับกัน กระแสประสาทจากอวัยวะต่าง ๆ ที่ถูกส่งเข้าสู่ไขสันหลัง, ก้านสมอง เข้าสู่ทาลามัส หน้าที่ของทาลามัสก็จะแยกกระแสประสาทเพื่อส่งไปยังสมองส่วนที่เกี่ยวข้องตามที่อธิบายไปก่อนหน้านั่นเอง จะเห็นได้ว่า การฝึกปราณจักระไม่ใช่เรื่องโบราณ แต่เป็นศาสตร์ที่ประยุคแนวทางปฏิบัติแบบโบราณมาผสมผสานกับเทคโนโลยีความรู้ทางสรีรวิทยาสมัยใหม่เข้าด้วยกัน เหมือนกับการจับจุดได้ว่า คนโบราณเขาคิดค้นกันไว้อย่างไร เชื่อมโยงกับแนวคิดทางวิทยาศาสตร์มากน้อยแค่ไหน หรือพิสูจน์ได้ตามหลักสรีรศาสตร์หรือไม่ และเมื่อศึกษามาถึงตรงนี้ คงพอทำให้เข้าใจได้ว่า องค์ประกอบของการฝึกปราณ ก็จะเชื่อมโยงกับระบบการทำงานของร่างกาย 3 ส่วนหลักสำคัญอย่างที่กล่าว คือ (1) ลมหายใจสัมพันธ์กับจักระ 4-5 ว่าด้วยเรื่องของการทำงานของหัวใจและหลอดลม (2) การบริหารร่างกาย ก็จะสอดคล้องกับระบบกล้ามเนื้อ เซลล์กล้ามเนื้อที่เป็นแหล่งสะสมพลังงาน การผลิตและนำไปใช้จากระบบย่อยอาหาร ล้วนสัมพันธ์กับจักระที่ 1-2-3 ทั้งสิ้น (3) มาถึงส่วนนี้ที่อธิบายยืดเยื้อในจักระ 6 เพราะสมองเป็นอวัยวะที่สำคัญอีกส่วนหนึ่ง และเป็นจุดศูนย์รวมประสาทของจักระที่ 6-7 โดยผู้อ่านจะสังเกตได้ว่า จักระทั้ง 7 นั้นทำงานประสานสอดคล้องกัน รับส่งกันเป็นเครือข่ายโยงใยถึงกันและกันเสมอ และในการฝึกส่วนนี้ ก็สัมพันธ์กับการจินตภาพ การเปลี่ยนสมองเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่อีกด้วย
ในความเชื่อมโยงของสูตรปัญจะภูตามุทราที่ใช้คือ ญาณมุทรา Gyan Mudra มุทราแห่งความรู้ โดยการใช้นิ้วชี้จีบกับนิ้วโป้งดังภาพ เชื่อกันว่า มุทรานี้มีความเกี่ยวข้องกับดาวพฤหัส ซึ่งเป็นดาวแห่งความรู้ นอกจากนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ของการรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล การที่อาตมันหลอมรวมกับพรหมัน หรือปรมาตมัน และตามหลักอายุรเวท ยังเชื่อมต่อกับธาตุอากาศ ช่วยเพิ่มระบบความจำ ตลอดจนระบบประสาทและต่อมใต้สมองทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย
แบบสากลเรียกว่าจักระมงกุฎ หรือ Crown Chakra สัญลักษณ์คือดอกบัว 1,000 กลีบ สีม่วงตำแหน่งอยู่กลางกระหม่อมศีรษะ สัมพันธ์กับจิตใต้สำนึก ตำราฮินดูเชื่อว่าเป็นจุดศูนย์กลางสูงสุดที่ใช้เชื่อมต่อกับเทพเจ้า ทำหน้าที่ดูดซับพลังงานจากห้วงจักรวาล หรือพลังศักติตามความเชื่อ และส่งผ่านกระจายไปทั่วร่างกาย ควบคุมการทำงาน และการสั่งการของสมองส่วนกลาง
ในความเชื่อมโยงของมุทรา จักระ 7 อยู่กลางฝ่ามือ สามารถใช้ฮาคินีมุทรา Hakini Mudra ในการฝึกบริหารจักระมงกุฎได้ เพื่อเสริมสร้างการทำงานของสมอง ความทรงจำ ปรับสมดุลของสมองซีกขวาและซีกซ้าย
สำหรับจักระที่ 7 นี้ ทำหน้าที่ไม่ต่างจากสมองส่วนกลางดังที่กล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ โดยที่จักระมงกุฎแห่งนี้ ไม่จำเป็นต้องฝึกหมุนจักระมากมายนัก เพราะ เป็นจักระที่ต้องใช้งานทุกครั้ง แม้กระทั่งในสูตรของการรักษาโรค ก็จะเริ่มต้นจากจักระ 7 แทบทั้งหมด ยกเว้นโรคเฉพาะทางบางอย่างเท่านั้น และในตำราเล่มนี้ ผู้เขียนไม่ได้ระบุวิธีการนำพลังจักรวาลไปรักษาโรคมาเป็นเทคนิคในการนำไปใช้งานให้แต่อย่างใดนะครับ เนื่องจากเหตุผลทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ก็ให้เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลไป ใครฝึกสายปราณจักระแล้วอยากนำไปรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้คนอื่น ก็ต้องเตรียมพร้อมรับแรงกระแทกจากสังคมให้ดีด้วยนะครับ อยากให้พิจารณาเหตุผลด้วยว่า ถ้าการรักษาคนมันจะง่ายดายและทำกันได้ขนาดนั้น นับแต่โบราณจะมีศาสตร์การแพทย์ทำไมให้ยุ่งยาก ไหนจะสมุนไพร ไหนจะสูตรการบำบัด แล้วยังสืบทอดมาสู่ยุคปัจจุบันให้วงการแพทย์ต้องทำงานเหนื่อยยากแสนเข็ญ คนโบราณฝึกปฏิบัติไม่ว่าจะสายปราณ สายสมาธิได้สมบูรณ์กว่าคนยุคเรา เนื่องด้วยธรรมชาติและวิถีชีวิตที่ไม่วุ่นวายเหมือนพวกเรา แต่ทำไม วิธีการรักษาถึงพึ่งมาพูดถึงหลังปี พ.ศ.2400 ??
ในส่วนของปัญจะภูตาสูตร ใช้ปราณมุทรา Prana Mudra มุทราแห่งชีวิตในการฝึก เพื่อช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน เพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย ช่วยให้พลังงานในร่างกายสมดุล สำหรับมุทรานี้จะทำได้สองแบบนะครับ ระหว่างใช้ปลายนิ้วแตะตามภาพ หรือจะพับนิ้วนางนิ้วก้อยเข้ามา แล้วเอานิ้วโป้งวางทับไว้ก็ได้เหมือนกัน แตกต่างกันที่ตำราแต่ละเล่มเท่านั้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น