การหมุนทุกจักระใน 1 รอบฝึก
ในบทความนี้เราจะมาทบทวนการหมุนจักระตั้งแต่การเริ่มฟอกบริหารปอด และเริ่มการหมุนจักระที่7 ไปจักระที่3 ไล่ไปจักระที่ 4,5 และ 2,6 กันนะครับ สำหรับบทความในก่อนหน้านี้ท่านที่ยังไม่ค่อยเข้าใจ มาฝึกไปพร้อมๆกันนะครับตามบทความและวิดิโอประกอบบทความด้านล่างได้เลยครับ
ขั้นที่2ฝึกหมุนจักระที่ 7
2.1ลำดับการหมุนจักระ ให้เริ่มจากจักระที่ 7 เมื่อคุณฝึกฟอกปราณบริหารปอดฯ และหลอดลมสำเร็จแล้ว ให้เริ่มฝึกสมาธิปราณจักระที่ 7 คือทำทุกขั้นตอนเหมือนเดิม แต่เวลาฝึกหมุนจักระให้หลับตาเหมือนนั่งสมาธิ และเปลี่ยนให้แผ่วเบาลง ปล่อยตัวตามสบาย สิ่งที่ต้องเพิ่มเติมคือ เมื่อดึงลมหายใจเข้า ให้จินตภาพว่ามีรัศมีวงกลมสีม่วงกำลังหมุนเวียนไปตามเข็มนาฬิกาที่บริเวณกลางศีรษะ หมุนวนอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องเร็ว หมุนให้เราจับภาพในจินตนาการได้ว่า พลังงานจากห้วงจักรวาลกำลังไหลผ่านรัศมีสีม่วงลงมาตามลมหายใจ และไปสิ้นสุดที่บริเวณท้องน้อยเหมือนเดิม การฝึกขั้นที่สองนี้ ลักษณะมือยังคงอยู่ในท่า ฮาคินีมุทราอยู่อย่างนั้น ทำเช่นเดิมกับขั้นตอนที่ 1 ทุกประการ สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือจินตภาพที่กำหนดให้ชัดเจนที่สุด และในการจินตภาพทุกครั้ง ให้ผู้ฝึกกำหนดความรู้สึกไปอยู่บริเวณจักระดังกล่าวเสมอ เทคนิคการไล่ความรู้สึกไปตามเส้นปราณจะคุ้นเคยเมื่อทำการฝึกบ่อยครั้งขึ้น กล่าวคือ #รู้สึกว่าหมุนอยู่ตรงนั้น #รู้สึกว่าเคลื่อนจากจุดนั้นไปตามกระดูกสันหลัง #ความรู้สึกจะไล่ไปพร้อมกับลมหายใจ #เคลื่อนเข้าและออกอย่างช้า #สติจับจินตภาพ
สำหรับจักระ 7 แนะนำว่าให้ใช้ฮาคินีมุทรา Hakini Mudra นะครับ เพราะไหลเวียนพลังจากนิ้วทั้ง 5 ได้สมบูรณ์กว่า เหมาะแก่การหมุนจักระ 7 มาก จากประสบการณ์ตรง ถ้าจะเลือกใช้ปราณมุทราสำหรับจักระ 7 ก็ไม่ผิดอะไรครับ แต่ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าปราณมุทราเหมาะแก่การทำสมาธิแบบลึกมากกว่า คือการดำดิ่งไปสู่ห้วงจักรวาล จินตภาพไปว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล ประมาณนั้น ในการหมุนจักระแนะนำฮาคินีครับผม
2.2 เมื่อลมหายใจกักอยู่ที่บริเวณท้องน้อย ให้จินตภาพว่า คลื่นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า กำลังดูแลระบบการทำงานในร่างกาย ให้ความอบอุ่น และหมุนวนไปทั่วเรือนร่าง จังหวะนี้ ยังคงจินตภาพหมุนรัศมีสีม่วงของจักระ 7 ไปตามเข็มนาฬิกาเช่นเดิมนะครับ กักลมไว้ 3-5 วินาทีเช่นเดิม
2.3 เมื่อผ่อนลมหายใจออก เปลี่ยนจากการผ่อนออกทางปากเป็นผ่อนออกทางจมูกอย่างช้า อาจจะนับถอยหลังตามสูตรที่บางคนให้ไว้ก็ได้เช่น ดึงลมเข้า 4 วินาที กักไว้ 4 วินาที ปล่อยออก 8 วินาที สูตรนี้ก็ไม่เสียหาย แต่จากประสบการณ์แล้ว เมื่อเราฝึกจนชำนาญ จะสามารถกักลมได้นานขึ้นอีกเล็กน้อย และผ่อนลมออกได้ยาวขึ้นเล็กน้อย เช่น อาจจะ กักไว้ 5-7 วินาที และผ่อนออกทางจมูก 8-10 วินาที ก็สามารถทำได้
ในขณะเดียวกันที่ผ่อนลมหายใจออก ให้จินตภาพว่ารัศมีสีม่วงบนศีรษะ กำลังหมุนทวนเข็มนาฬิกา ไม่ต้องเร่งการหมุน ปล่อยตามธรรมชาติให้สอดคล้องกับการผ่อนลมหายใจ และจินตภาพซ้อนไปว่า พลังงานจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าจักรวาล กำลังแผ่ออกทางศีรษะ กลับคืนสู่จักรวาลอย่างเหลือประมาณ (รับมาอย่างเต็มเปี่ยม และส่งคืนอย่างเหลือประมาณ) ขั้นตอนนี้ให้ใช้จิตเมตตานำทาง เปรียบเสมือนการแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์บนผืนโลก และเทคนิคการผ่อนลมหายใจนี้ใช้กับทุกการหมุนจักระในลำดับต่อไปด้วย ดังนั้น ต้องฝึกการหมุนจักระที่ 7 นี้ให้คล่องเสียก่อน ก่อนที่จะไปฝึกหมุนจักระขั้นต่อไป (หมุนจักระ 1 เซ็ต คือทำ 5-10 รอบเท่านั้น)
2.4 ทำลักษณะเดียวกันนี้ไปเรื่อย ๆ ประมาณ 10 รอบ แล้วสลับกับการฝึกฌานจักระ นั่นก็คือสลับมาดึงลมหายใจแบบปกติไม่ต้องกักลม 3-5 วินาที ดึงลงสุดแล้วผ่อนออกสุดเหมือนการนั่งสมาธิผ่อนคลายโดยทั่วไป ต่างกันที่จินตภาพคือการเพ่งความรู้สึกว่ารับพลังเข้ามาผ่านจักระ 7 มีแสงรัศมีสีม่วงปรากฎในจินตภาพ แสงเหล่านั้นหมุนเวียนเองตามธรรมธาติ เราไม่ได้พยายามเอาจิตเข้าไปหมุนเหมือนตอนหมุนจักระ พลังเหล่านั้นไหลลงสู่ท้องน้อยจนสุด หยุดชั่วขณะหนึ่งก็ผ่อนลมออกช้า ๆ เบา ๆ เหมือนเดิม ไม่ต้องกักลมที่ท้อง เหมือนสูตรหมุน เพ่งอารมณ์ไปตามจักระที่ฝึก และสามารถฝึกได้นานตามที่คุณต้องการ หากผ่านไปแล้วสัก 10 นาที คุณจะสามารถฝึกหมุนจักระ1 เซ็ต ก็สามารถทำได้ และก่อนจบการฝึกปราณทุกครั้ง ให้ทำการฟอกปราณบริหารปอด จบแล้วอย่าพึ่งรีบลุก ให้ร่างกายผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์เสียก่อนแล้วจึงค่อยเปลี่ยนอิริยาบถ
แต่สำหรับนักกีฬาที่มีกิจกรรมในการกลั้นหายใจอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดเช่น นักดำน้ำ หรือนักว่ายน้ำ หรือกิจกรรมบางอย่างที่เมื่อต้องใช้ความอดทนในการทำกิจกรรม ร่างกายจะตอบสนองโดยสั่งให้คุณกลั้นหายใจชั่วขณะแบบอัตโนมัติ เหมือนที่เราจะมักพูดกันเวลาต้องการยกของหนักว่า “อ่าว .. ฮึบ” นั่นคือการที่ร่างกายสูดลมหายใจเข้าและกลั้นหายใจเพื่อยกขึ้น อาจจะเกิดจากการหายใจที่เร็วขึ้นและแรงขึ้น หลังจากนั้นกักลมหายใจไว้เพื่อเพิ่มแรง และผลการวิจัยจาก European Journal of Applied Physiology ก็แสดงให้เห็นว่านักกีฬาที่ผสมผสานการฝึกแบบเข้มข้นร่วมกับการฝึกกลั้นหายใจที่มีประสิทธิภาพ จะสามารถทนทานได้ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ผลจากการฝึกขั้นที่ 2 : จะทำให้สมองปลอดโปร่งขึ้น คิดงาน วางแผนงาน หรือการจัดระเบียบความคิดดีขึ้น รับรู้ถึงคลื่นพลังแม่เหล็กไฟฟ้าที่ไหลผ่านร่างกาย และส่งคืนกลับสู่จักรวาลได้ชัดเจนขึ้น
ขั้นที่ 3 ฝึกหมุนจักระที่ 3
3.1 ใช้หลักการฝึกเบื้องต้นเหมือนการหมุนจักระที่ 7 คือเริ่มจากจินตภาพจากจักระที่ 7 เป็นรัศมีสีม่วงหมุนวน พลังคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไหลเคลื่อนไปตามแนวกระดูกสันหลังสู่จักระที่ 3 ในขณะเดียวกันดึงลมหายใจลงให้สุดท้องน้อย หน้าท้องพองออกเหมือนเดิม แต่เมื่อดึงลมสุดท้องน้อยแล้ว ในขณะที่กักลม ให้สร้างจินตภาพที่สองขึ้น คือรัศมีสีเหลืองกำลังหมุนตามเข็มนาฬิกาอยู่บริเวณแนวสะดือตัดไปสู่กระดูกสันหลัง ในขณะที่ฝึกจักระ 3 นี้ ลักษณะมืออยู่ในท่วงท่าอัคนีมุทรา Agni Mudra มุทราแห่งไฟ บางตำราเรียกท่านี้ว่าสุริยามุทรา ดังภาพ (จินตภาพหมุนที่บริเวณกระดูกสันหลังแนวเดียวกันนั้น ไม่ใช่หมุนที่สะดือนะครับ) กักลมไว้ 3 -5 วินาทีตามสูตร แล้วค่อย ๆ ผ่อนลมออกทางจมูก)
3.3 ฝึกลักษณะนี้ตามสูตรคือ ฝึก 1 เซ็ต หมุนจักระ 5-10 รอบ แล้วสลับไปฝึกฌานจักระ เพื่อผ่อนคลายร่างกาย ระยะเวลาการฝึกแล้วแต่ความสะดวก ซึ่งเวลาและสถานที่ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน หากเรามีชีวิตในช่วงเวลาที่เร่งรีบ อาจฝึกวันละ 5 นาทีก็เพียงพอ เพื่อให้สามารถจดจำขั้นตอนได้อย่างแม่นยำ และเมื่อมีเวลามากขึ้น หรือสถานที่อำนวยต่อการฝึก คุณก็สามารถเข้าฌานจักระฝึกสลับไปกับการหมุนจักระที่ต้องการ
3.4 เมื่อยุติการฝึกฌานจักระทุกครั้ง ให้ทำการฟอกปราณบริหารปอดฯ ตามขั้นตอนที่ 1 เป็นประจำ เป็นอันเสร็จสิ้นการหมุนจักระ 3
ผลจากการฝึกขั้นที่ 3 : เปิดจุดรับพลังงานที่จักระ 3 ให้ตื่นขึ้นเพื่อดูแลระบบเผาผลาญ การย่อยอาหาร และการดูดซับสารอาหารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยเพิ่มการทำงานให้กับระบบย่อยอาหาร ขจัดของเสียออกจากร่างกาย ช่วยในการส่งพลังงาน ATP ไปกักตุนที่จักระ 1 และเซลล์ทุกส่วนของกล้ามเนื้ออย่างสมดุล หรือทรงพลังกว่าคนปกติ
วิธีการสังเกตว่าจักระเปิดสมบูรณ์หรือไม่ อย่างที่ยกตัวอย่างจักระ 7 หากเปิดสมบูรณ์ ความรู้สึกนึกคิดของคุณจะเปลี่ยนไปทันที จะมีความวูบวาบบริเวณกลางศีรษะเวลาที่ฝึก ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะเมื่อจิตสร้างจินตภาพไปจับตรงไหน ความรู้สึกจะชัดเจนตรงนั้น ความวูบวาบนั้นจะมีความอุ่น บางคนจะรู้สึกเหมือนมีถุงร้อนมาประคบ แบบนั้นก็ถือเป็นเรื่องปกติ เมื่อฝึกมาถึงจักระที่ 3 แน่นอนว่าความรู้สึกแบบเดียวกันจะเกิดขึ้นที่จักระ 3 และสิ่งที่สังเกตได้ชัดคือความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ระบบย่อยอาหารจะดีขึ้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คงต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการกินให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้นไปด้วย บางคนคิดว่ากระเพาะอาหารและลำไส้ของฉันถูกดูแลอย่างดีแล้ว ก็ไม่เลี่ยงอาหารที่ไม่มีประโยชน์ มันก็จะเกิดโทษแต่ภายหลังเอาได้ เราไม่จำเป็นต้องงดสิ่งที่ชอบ แต่เราจำกัดสิ่งที่ชอบให้พอเหมาะพอควรได้ เพื่อระบบขับเคลื่อนร่างกายที่มีประสิทธิภาพ
ขั้นที่ 4 ฝึกหมุนจักระที่ 5 และ 4
หลังจากที่คุณฝึกเปิดและบริหารจักระที่ 3 เป็นที่เรียบร้อย ลำดับต่อไปคือ จักระที่ 5 และ 4 ทั้งสองจักระนี้ให้ฝึกร่วมกันเพราะการทำงานของหัวใจและหลอดลมนั้นสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก โดยแบ่งการหมุนจักระเป็น 1 ลมหายใจ ต่อ 1 จักระ คุณอาจจะเริ่มจากจักระที่ 5 ก่อน เพราะเป็นต้นทางของลมหายใจ ในขณะที่ฝึกจักระที่ 5 ให้วางมือในท่วงท่าของชุนยะมุทรา Shunya Mudra หรืออากาศมุทรา Akasha Mudra เพื่อหมุนจักระ 5 ต่อเมื่อสิ้นสุด 1 ลมหายใจ ให้ปรับท่วงท่ามาเป็น วายุมุทรา เพื่อหมุนจักระ 4 การฝึกหมุนจักระสลับกันแบบนี้ให้ทำ 1 เซ็ต คือ อย่างละ 5 รอบเท่านั้น
(หมายเหตุ : ให้เลือกใช้มุทราท่าใดท่าหนึ่ง แล้วจำให้ได้ว่าประจำจักระใด)
4.1 ใช้หลักการฝึกเบื้องต้นเหมือนการหมุนจักระ 7 ดึงลมมาให้สุดท้องน้อยเหมือนเดิม จินตภาพรับพลังที่จักระศีรษะเหมือนเดิมทุกประการ หลังจากลมเต็มท้องน้อย ก็ให้เคลื่อนจินตภาพมาอยู่ที่จักระ 5 บริเวณจุดกึ่งกลางระหว่างบ่าสองข้าง ลองเอามือสัมผัสดูจะมีกระดูกที่นูนขึ้นมาเล็กน้อย ให้หมุนบริเวณนั้นนะครับ ไม่ใช่หมุนที่ต้นคอด้านหน้า
4.2 เวลากักลมหายใจอยู่ที่ท้องน้อย เคลื่อนสติไปจับที่จักระ 5 หมุนวนตามเข็มนาฬิกาพอประมาณ 3-5 วิ เท่าที่ร่างกายทำได้ จุดสังเกตเส้นปราณจักระจะวิ่งตามสติของเราไปสู่จุดที่เราต้องการ เราก็สามารถสร้างจินตภาพเพิ่มเติมในเส้นทางการวิ่งเหล่านั้นได้เช่นกันว่า คลื่นพลังกำลังวิ่งอยู่ภายในร่างกายเราแบบไหน หมุนวนตามเข็มนาฬิกาอย่างไร หมุนไปที่อีกจุดหนึ่งอย่างไร และท้ายที่สุดหมุนวนทวนเข็มนาฬิกาออกทางจักระ 7 อย่างไร ไม่ต้องเร่งรีบทำครับ ค่อย ๆ ปรับจินตภาพให้เหมาะสมกับตน
4.3 ทำลักษณะเดียวกันนี้กับจักระที่ 4 ในลมหายใจถัดไป คือสร้างจินตภาพ หมุนวงรัศมีสีเขียวบริเวณกึ่งกลางระหว่างอกสองข้าง ค่อนไปทางข้างหลังนะครับ กะระยะตรงแกนกระดูกสันหลังของเราได้ยิ่งดี หมุนจักระ ที่ 4 บริเวณนั้น และขั้นตอนการหมุน การคืนพลังสู่ห้วงจักรวาลก็ทำเหมือนเดิมอีกเช่นเดียวกัน
วิธีการสังเกตว่าจักระที่ 4-5 ตื่นอย่างสมบูรณ์หรือไม่คือ ทุกครั้งที่เราหายใจ จะรู้สึกได้ถึงความโปร่งโล่งสบายบริเวณปอดและหลอดลม รวมถึงหายใจอิ่มขึ้น ได้รับกลิ่นและรสสัมผัสได้ชัดเจนขึ้นกว่าปกติ แม้กระทั่งเวลาดำเนินชีวิตประจำวัน เมื่อเราหายใจเข้าก็จะรู้สึกวูบวาบที่บริเวณกระดูกสันหลังทั้ง 2 จุด สลับกันไปมาอย่างไม่สิ้นสุด
ขั้นที่ 5 ฝึกหมุนจักระที่ 2 และ 6
ผู้เขียนให้นิยามการฝึกลำดับนี้ว่า “ฝึกจิตสั่งการ” เพราะอย่างที่ทราบกันแล้วว่า จักระที่ 2 นั้น ถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้น ด้วยใจของเราเป็นใหญ่ เวลาที่เราต้องการอะไร อยากให้เกิดอะไรขึ้น เราจะป้อนข้อมูลจากสมอง และไปสนองความต้องการที่จักระ 2 แห่งนี้ และไม่ว่าความต้องการของเราจะเป็นอะไร จักระที่ 2 จะเป็นตัวส่งพลังงานศักดิ์สิทธิ์ไปสู่ระบบร่างกายว่า ฉันต้องการสิ่งนี้ และอวัยวะส่วนนี้ หรือองค์ประกอบเหล่านี้ จะต้องตอบสนองสิ่งที่ฉันต้องการ
การที่ผู้เขียนใช้คำว่าพลังงานศักดิ์สิทธิ์ตามชื่อจักระที่ 2 เพราะมันเป็นพลังที่นิยามไม่ได้ ถ้าจะถามว่า “มันเป็นเรื่องของความเชื่อใช่ไหม?” ต้องยอมรับครับว่าใช่ เราไม่สามารถนิยามพลังงานแฝงบางอย่างในร่างกายได้เป็นความจริง เพราะถ้าหากเป็นพลังงาน ATP เราสามารถวัดและประมาณค่าได้ทางวิทยาศาสตร์ แต่พลังแฝงบางอย่างของร่างกาย วิทยาศาสตร์อาจจะยังตอบไม่ได้ แต่มนุษย์ทุกคนรับรู้ได้ เวลาที่คุณต้องการทำอะไรจริงจังถึงแม้จะพักผ่อนน้อย แค่เพียงฝืนร่างกายกลับทำให้มันสำเร็จได้อย่างไม่น่าเชื่อ ผู้เขียนจึงนิยามสิ่งนี้ว่า “พลังงานศักดิ์สิทธิ์” หรือจะเรียกแบบศาสตร์จีนก็คือ “พลังชี่” นั่นเอง พอถึงจุดนี้ทุกท่านจะทราบแล้วนะครับว่า พลังชี่จากตันเถียนล่าง คือตัวส่งความปรารถนาที่จะใช้พลังตามที่ใจต้องการ เดี๋ยวเนื้อหาในหมวดปราณชี่ จะทำให้เข้าใจมากขึ้น
การฝึกหมุนจักระทำเหมือนเดิมทุกประการครับ เพียงแต่เปลี่ยนจุดหมุนช่วงกักลมหายใจ ไปไว้ที่จักระ 2 ก่อน แล้วสลับกับจักระ 6 หมุนวนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ที่จักระ 2 ให้จินตภาพถึงรัศมีสีส้มหมุนตามเข็มนาฬิกาขณะที่กักลมบริเวณท้องน้อย และหมุนทวนเข็มนาฬิกาเมื่อปล่อยลมออกจากจมูก แบ่งการปล่อยลมหายใจเป็น 2 ชั้น คือ ปล่อยออกเริ่มที่ท้องน้อย ไล่ขึ้นไปจนถึงศีรษะเช่นเดิม
ณ จุดนี้จะต้องมีคำถามแน่นอนว่า แล้วทำไมก่อนหน้าที่ดึงลมไปกักที่บริเวณท้องน้อย ไม่ต้องหมุนจักระที่ 2 ทั้งที่บริเวณท้องน้อยเป็นที่อยู่ของจักระศักดิ์สิทธิ์นี้ คำตอบคือ เราจะหมุน ต่อเมื่อเราต้องการใช้งานจักระนี้จริง ๆ เท่านั้น ถ้าการกักลมหายใจเพื่อหมุนจักระอื่น เราไม่จำเป็นต้องทำครับ จักระที่ 2 จะถูกใช้ ต่อเมื่อมีความต้องการจะใช้บางอย่างเท่านั้น และที่สำคัญ จักระ 2 ไม่จำเป็นต้องใช้กับระบบออโต้อย่างจักระ 3-4-5 ทั้งสามส่วนนี้ทำงานแบบอัตโนมัติตลอด 24 ชม. จักระ 2 ไม่สามารถไปสั่งให้หยุดหายใจ หรือหยุดย่อยอาหารได้ ยกเว้นมนุษย์จะพยายามสั่งจากสมองให้ตัวเองหยุดหายใจ แต่การทำได้นั้นน้อยมาก เพราะระบบร่างกายจะบังคับให้เราต้องหายใจถึงแม้จะกลั้นหายใจจนหมดสติไปแล้ว ร่างกายก็จะกลับมาหายใจเองอีกครั้งตามการสั่งการแบบออโต้ไพลอต (autopilot)
การที่ผู้เขียนใช้คำว่าพลังงานศักดิ์สิทธิ์ตามชื่อจักระที่ 2 เพราะมันเป็นพลังที่นิยามไม่ได้ ถ้าจะถามว่า “มันเป็นเรื่องของความเชื่อใช่ไหม?” ต้องยอมรับครับว่าใช่ เราไม่สามารถนิยามพลังงานแฝงบางอย่างในร่างกายได้เป็นความจริง เพราะถ้าหากเป็นพลังงาน ATP เราสามารถวัดและประมาณค่าได้ทางวิทยาศาสตร์ แต่พลังแฝงบางอย่างของร่างกาย วิทยาศาสตร์อาจจะยังตอบไม่ได้ แต่มนุษย์ทุกคนรับรู้ได้ เวลาที่คุณต้องการทำอะไรจริงจังถึงแม้จะพักผ่อนน้อย แค่เพียงฝืนร่างกายกลับทำให้มันสำเร็จได้อย่างไม่น่าเชื่อ ผู้เขียนจึงนิยามสิ่งนี้ว่า “พลังงานศักดิ์สิทธิ์” หรือจะเรียกแบบศาสตร์จีนก็คือ “พลังชี่” นั่นเอง พอถึงจุดนี้ทุกท่านจะทราบแล้วนะครับว่า พลังชี่จากตันเถียนล่าง คือตัวส่งความปรารถนาที่จะใช้พลังตามที่ใจต้องการ เดี๋ยวเนื้อหาในหมวดปราณชี่ จะทำให้เข้าใจมากขึ้น
การฝึกหมุนจักระทำเหมือนเดิมทุกประการครับ เพียงแต่เปลี่ยนจุดหมุนช่วงกักลมหายใจ ไปไว้ที่จักระ 2 ก่อน แล้วสลับกับจักระ 6 หมุนวนแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ที่จักระ 2 ให้จินตภาพถึงรัศมีสีส้มหมุนตามเข็มนาฬิกาขณะที่กักลมบริเวณท้องน้อย และหมุนทวนเข็มนาฬิกาเมื่อปล่อยลมออกจากจมูก แบ่งการปล่อยลมหายใจเป็น 2 ชั้น คือ ปล่อยออกเริ่มที่ท้องน้อย ไล่ขึ้นไปจนถึงศีรษะเช่นเดิม
ณ จุดนี้จะต้องมีคำถามแน่นอนว่า แล้วทำไมก่อนหน้าที่ดึงลมไปกักที่บริเวณท้องน้อย ไม่ต้องหมุนจักระที่ 2 ทั้งที่บริเวณท้องน้อยเป็นที่อยู่ของจักระศักดิ์สิทธิ์นี้ คำตอบคือ เราจะหมุน ต่อเมื่อเราต้องการใช้งานจักระนี้จริง ๆ เท่านั้น ถ้าการกักลมหายใจเพื่อหมุนจักระอื่น เราไม่จำเป็นต้องทำครับ จักระที่ 2 จะถูกใช้ ต่อเมื่อมีความต้องการจะใช้บางอย่างเท่านั้น และที่สำคัญ จักระ 2 ไม่จำเป็นต้องใช้กับระบบออโต้อย่างจักระ 3-4-5 ทั้งสามส่วนนี้ทำงานแบบอัตโนมัติตลอด 24 ชม. จักระ 2 ไม่สามารถไปสั่งให้หยุดหายใจ หรือหยุดย่อยอาหารได้ ยกเว้นมนุษย์จะพยายามสั่งจากสมองให้ตัวเองหยุดหายใจ แต่การทำได้นั้นน้อยมาก เพราะระบบร่างกายจะบังคับให้เราต้องหายใจถึงแม้จะกลั้นหายใจจนหมดสติไปแล้ว ร่างกายก็จะกลับมาหายใจเองอีกครั้งตามการสั่งการแบบออโต้ไพลอต (autopilot)
ในท่วงท่าการฝึกนี้ ให้สลับกันระหว่าง วรุณมุทรา Varun Mudra และญาณมุทรา Gyan Mudra ตรงส่วนนี้สอดคล้องกับหลักความเชื่อทางเวทมนตร์อยู่พอสมควรนะครับ เกี่ยวกับเรื่องพลังจิตวิญญาณและไสยศาสตร์ ว่าเป็นการผสานระหว่างธาตุดินและธาตุน้ำ ดินคือจิตวิญญาณ และน้ำคือทางผ่านของวิญญาณ ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องบังเอิญจากการเลือกใช้มุทราในวิถีปฏิบัติส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นนะครับ อย่างที่บอกไปแล้วว่า เรื่องของมุทราให้เป็นอิสระในการใช้ ซึ่งมาถึงตรงนี้ ถ้าใครจะมีคำถามว่า
จากที่อธิบายไปแล้วข้างต้น เมื่อสิ้นสุดลมหายใจ 1 รอบแรก รอบที่สองก็สลับไปสู่จักระที่ 6 ด้วยการหมุนวงรัศมีสีน้ำเงิน ณ บริเวณสมองส่วนหลัง ที่ลิงก์มากลางหน้าผาก อย่างที่บอกไปแล้วนะครับว่า เราจะไม่กำหนดที่จุดกลางหน้าผากในการหมุนจักระนะครับ ไว้จะอธิบายในขั้นถัดไป
หากถามว่า “ในเมื่อต้องฝึกสองจักระควบคู่กัน แบบนี้ท่ามือทั้งสองข้าง ทำสองมุทราพร้อมกันได้หรือไม่?” คำตอบคือได้ครับ แต่เราจะได้ประโยชน์จากการฝึกน้อยกว่าสลับท่ามือหรือเปล่า เพราะการสลับท่ามือเมื่อผ่อนลมหายใจออกจนสุดไปแล้ว และก่อนที่จะเริ่มกระบวนการหายใจใหม่อีกรอบ จะทำให้สติได้ไปจับกับมุทราในเวลานั้น ถ้าคุณมีความสามารถใช้สติจับมุทราได้ในห้วงเวลาที่บอก ก็สามารถฝึกโดยวางท่วงท่ามุทราทั้งสองมือได้ครับ ไม่เกิดปัญหาแต่อย่างใด มองที่ประโยชน์เป็นหลักนะครับผม
ผลของการฝึกขั้นที่ 5 : ช่วยเปิดพลังด้านการเห็นภาพ บำรุงระบบประสาทและสายตา จะมองเห็นทุกอย่างได้แจ่มชัดขึ้นทั้งในโลกจริง และโลกทับซ้อน อาจจะเห็นมากกว่าที่ตาเนื้อเห็น หรือได้ยินมากกว่าที่หูคนปกติได้ยิน ซึ่งไม่ต้องคิดว่าเป็นเรื่องแปลกอะไรหากคุณฝึกสำเร็จในขั้นนั้น เพราะทุกสรรพสิ่งเป็นธรรมชาติ ทั้งที่จับต้องได้ และจับต้องไม่ได้ก็ตามที เห็นก็คือเห็น ได้ยินก็คือได้ยิน อย่าไปยึดติด อย่าไปหลงกลทางจิต และอย่าไว้ใจจิตของตน บางทีเราอาจกำลังถูกหลอกจากกลไกทางจิตใต้สำนึกของเราอยู่ก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น การฝึกในขั้นที่ 5 นี้จะมีความเสี่ยงเรื่องของภาพหลอนที่อาจเกิดจากการปรุงแต่ง หรือพยายามอย่างเข้มข้นที่จะเห็น อยากได้ยิน อยากสัมผัสจนเกินขอบเขต หรือแม้กระทั่งการพยายามบีบกดสมองด้วยการกำหนดความรู้สึกอย่างหนักไปที่จักระ 7 และ 6
ซึ่งวิธีการฝึกแบบนี้เป็นวิธีที่ผิดนะครับ คุณจะไม่ได้อะไรเลยนอกจากเสียสุขภาพจิต และดีไม่ดีการทำงานของสมองจะมีปัญหาด้วย คุณอาจจะแยกไม่ออกระหว่างภาพจริงหรือภาพที่เกิดจากการมโนขึ้นเพราะปรุงแต่งจิตอย่างผิดเพี้ยน วิธีการแก้ก็คือ ให้มีสติตลอดเวลาในการฝึก ซึ่งสิ่งที่จะช่วยดึงสติคุณได้ในสูตรปราณวิถีนี้ ก็คือมุทราครับ การสลับมุทราจะดึงสติกลับมาที่มือเสมอ และจะไม่ปล่อยให้จิตล่องลอยไปกับสิ่งลวงลี้ลับแต่อย่างใด ช่วยให้ร่างกายปรับสมดุลอย่างถูกต้อง
นอกจากสิ่งที่กล่าวมานี้ การหมุนจักระที่ 2 และ 6 จะช่วยเสริมด้านพลังความคิดและสติปัญญา การฝึกสำเร็จคือคุณจะมีสติดำรงมั่นอยู่ในสมาธิมุทราไม่หลุดลอยไปตามภาพที่เข้ามาในหัว และผลข้างเคียงคือไออุ่นเวลาหมุนจักระ จะสลับสับเปลี่ยนไปตามรอบระหว่างจักระทั้งสอง และไออุ่นนั้นจะประทับอย่างถาวรอยู่ที่กลางหน้าผาก นั่นหมายความว่า หากคุณเปิดจักระที่ 6 สำเร็จ กลางหน้าผากของคุณจะมีพลังงานหมุนเวียนตลอดเวลา เป็นลักษณะไออุ่นที่คอยกระตุ้นความรู้สึกกลางหน้าผาก เวลาที่กำหนดจิตหรือรู้สึกถึงสัมผัสกลางหน้าผาก ตาที่สามก็จะทำงาน
“การฝึกตาที่สามตามวิชาปราณจักระมุทรา”
กำหนดจิตไปที่หน้าผากก็เท่ากับเป็นการเปิด ปล่อยใจปล่อยกายใช้ชีวิตธรรมดาก็เท่ากับการปิด เวลามองสิ่งใดไปพร้อมกับการกำหนดความรู้สึกที่กลางหน้าผาก หน้าผากจะดึงพลังคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากห้วงมิติของจักระที่ 6 (บริเวณสมองส่วนหลัง) มาอยู่ที่กลางหน้าผาก เมื่อเราเชื่อมต่อจักระที่ 6 กับจุดตาที่สาม เท่ากับเปิด เมื่อเราปล่อยใจปล่อยกาย ผ่อนลมหายใจด้วยการฟอกปราณบริหารปอดฯ เท่ากับเป็นการปิด
จากที่อธิบายไปแล้วข้างต้น เมื่อสิ้นสุดลมหายใจ 1 รอบแรก รอบที่สองก็สลับไปสู่จักระที่ 6 ด้วยการหมุนวงรัศมีสีน้ำเงิน ณ บริเวณสมองส่วนหลัง ที่ลิงก์มากลางหน้าผาก อย่างที่บอกไปแล้วนะครับว่า เราจะไม่กำหนดที่จุดกลางหน้าผากในการหมุนจักระนะครับ ไว้จะอธิบายในขั้นถัดไป
หากถามว่า “ในเมื่อต้องฝึกสองจักระควบคู่กัน แบบนี้ท่ามือทั้งสองข้าง ทำสองมุทราพร้อมกันได้หรือไม่?” คำตอบคือได้ครับ แต่เราจะได้ประโยชน์จากการฝึกน้อยกว่าสลับท่ามือหรือเปล่า เพราะการสลับท่ามือเมื่อผ่อนลมหายใจออกจนสุดไปแล้ว และก่อนที่จะเริ่มกระบวนการหายใจใหม่อีกรอบ จะทำให้สติได้ไปจับกับมุทราในเวลานั้น ถ้าคุณมีความสามารถใช้สติจับมุทราได้ในห้วงเวลาที่บอก ก็สามารถฝึกโดยวางท่วงท่ามุทราทั้งสองมือได้ครับ ไม่เกิดปัญหาแต่อย่างใด มองที่ประโยชน์เป็นหลักนะครับผม
ผลของการฝึกขั้นที่ 5 : ช่วยเปิดพลังด้านการเห็นภาพ บำรุงระบบประสาทและสายตา จะมองเห็นทุกอย่างได้แจ่มชัดขึ้นทั้งในโลกจริง และโลกทับซ้อน อาจจะเห็นมากกว่าที่ตาเนื้อเห็น หรือได้ยินมากกว่าที่หูคนปกติได้ยิน ซึ่งไม่ต้องคิดว่าเป็นเรื่องแปลกอะไรหากคุณฝึกสำเร็จในขั้นนั้น เพราะทุกสรรพสิ่งเป็นธรรมชาติ ทั้งที่จับต้องได้ และจับต้องไม่ได้ก็ตามที เห็นก็คือเห็น ได้ยินก็คือได้ยิน อย่าไปยึดติด อย่าไปหลงกลทางจิต และอย่าไว้ใจจิตของตน บางทีเราอาจกำลังถูกหลอกจากกลไกทางจิตใต้สำนึกของเราอยู่ก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น การฝึกในขั้นที่ 5 นี้จะมีความเสี่ยงเรื่องของภาพหลอนที่อาจเกิดจากการปรุงแต่ง หรือพยายามอย่างเข้มข้นที่จะเห็น อยากได้ยิน อยากสัมผัสจนเกินขอบเขต หรือแม้กระทั่งการพยายามบีบกดสมองด้วยการกำหนดความรู้สึกอย่างหนักไปที่จักระ 7 และ 6
ซึ่งวิธีการฝึกแบบนี้เป็นวิธีที่ผิดนะครับ คุณจะไม่ได้อะไรเลยนอกจากเสียสุขภาพจิต และดีไม่ดีการทำงานของสมองจะมีปัญหาด้วย คุณอาจจะแยกไม่ออกระหว่างภาพจริงหรือภาพที่เกิดจากการมโนขึ้นเพราะปรุงแต่งจิตอย่างผิดเพี้ยน วิธีการแก้ก็คือ ให้มีสติตลอดเวลาในการฝึก ซึ่งสิ่งที่จะช่วยดึงสติคุณได้ในสูตรปราณวิถีนี้ ก็คือมุทราครับ การสลับมุทราจะดึงสติกลับมาที่มือเสมอ และจะไม่ปล่อยให้จิตล่องลอยไปกับสิ่งลวงลี้ลับแต่อย่างใด ช่วยให้ร่างกายปรับสมดุลอย่างถูกต้อง
นอกจากสิ่งที่กล่าวมานี้ การหมุนจักระที่ 2 และ 6 จะช่วยเสริมด้านพลังความคิดและสติปัญญา การฝึกสำเร็จคือคุณจะมีสติดำรงมั่นอยู่ในสมาธิมุทราไม่หลุดลอยไปตามภาพที่เข้ามาในหัว และผลข้างเคียงคือไออุ่นเวลาหมุนจักระ จะสลับสับเปลี่ยนไปตามรอบระหว่างจักระทั้งสอง และไออุ่นนั้นจะประทับอย่างถาวรอยู่ที่กลางหน้าผาก นั่นหมายความว่า หากคุณเปิดจักระที่ 6 สำเร็จ กลางหน้าผากของคุณจะมีพลังงานหมุนเวียนตลอดเวลา เป็นลักษณะไออุ่นที่คอยกระตุ้นความรู้สึกกลางหน้าผาก เวลาที่กำหนดจิตหรือรู้สึกถึงสัมผัสกลางหน้าผาก ตาที่สามก็จะทำงาน
“การฝึกตาที่สามตามวิชาปราณจักระมุทรา”
กำหนดจิตไปที่หน้าผากก็เท่ากับเป็นการเปิด ปล่อยใจปล่อยกายใช้ชีวิตธรรมดาก็เท่ากับการปิด เวลามองสิ่งใดไปพร้อมกับการกำหนดความรู้สึกที่กลางหน้าผาก หน้าผากจะดึงพลังคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากห้วงมิติของจักระที่ 6 (บริเวณสมองส่วนหลัง) มาอยู่ที่กลางหน้าผาก เมื่อเราเชื่อมต่อจักระที่ 6 กับจุดตาที่สาม เท่ากับเปิด เมื่อเราปล่อยใจปล่อยกาย ผ่อนลมหายใจด้วยการฟอกปราณบริหารปอดฯ เท่ากับเป็นการปิด
(วิดิโอสาธิตการหมุนทุกจักระใน1รอบฝึก)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น