เคล็ด ลาง อาถรรพ์ โบราณเขาถือ "ความเชื่อ" vs. "ความงมงาย" ของไทย

 


ทุกประเทศ ล้วนมีตำนานความเชื่อที่ต่างกัน อย่างเช่นที่เราคุ้ยเคยเกี่ยวกับความเชื่อในประเทศไทยของเรา ที่ยังคงความเหลื่อมล้ำแตกต่างระหว่างภาค หรือแม้กระทั่งความเชื่อที่สืบทอดมาจากชาติพันธุ์ ซึ่งในบทสรุปของเคล็ดลางอาถรรพ์นั้น มีอยู่อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น จิ้งจกร้องทัก ตุ๊กแกร้อง นกบินเข้าบ้าน ลักษณะของแมวเลี้ยง สัตว์ตัดผ่านหน้ารถ ฝันเวลาไหนที่จะเป็นลางสังหรณ์ ดังนั้น คำว่าเคล็ด ลาง จึงมักได้ยินควบคู่กันไป คือหากประสบลางร้าย ก็ให้แก้เคล็ดให้ร้ายกลายเป็นดี หรืออาจหมายรวมถึง เคล็ดในการที่จะทำบางสิ่งให้สำเร็จ เคล็ดในการสร้างสิ่งมงคล โดยถูกบันทึกไว้จากครูบาอาจารย์รุ่นเก่า

แต่ในโลกยุคปัจจุบันมนุษย์ฉลาดขึ้นด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย ความสะดวกสบายมากขึ้น แม้กระทั่งการค้นหาข้อมูลก็ง่ายเพียงพลิกฝ่ามือที่ถือโทรศัพท์อยู่ แล้วเปิดค้นหาได้ตามที่ใจต้องการ ทำให้ความเชื่อในเรื่องเคล็ด ลาง อาถรรพ์ ลดน้อยลงไปบ้าง ซึ่งในส่วนตัวของผู้เขียนคิดว่าเหมาะ สม กับวิถีชีวิตในปัจจุบัน เพราะเคล็ดลางโบราณดังกล่าว บ่อยครั้งที่บรรพบุรุษท่านแฝงกุศโลบายไว้ภายในเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นบ้านของคุณย่าผู้เขียน "ถ้ามีใครมาเคาะประตูหลัง 4 ทุ่ม ห้ามเปิดเด็ดขาดนะ เพราะเป็นเวลาของผี ไม่ใช่เวลาของแขกที่จะมาเยี่ยม" และจะต้องมีคำกล่าวต่อด้วยว่า "โบราณเขาถือ" แน่นอนครับว่าสิ่งที่โบราณท่านสร้าง คือ การเปิดประตูในยามวิกาล เท่ากับต้อนรับสิ่งไม่ดีเข้าบ้าน ไม่ว่าจะคน หรือจะผี เช็คให้ดีก่อนเปิด เพราะแขกที่มาเยี่ยมเรายามค่ำคืน ไม่นำเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจมาให้ ก็จะมาด้วยจุดประสงค์ที่ไม่ดีนั่นเอง 

"ถ้าได้ยินคนร้องทัก อย่าขานรับมั่วซั่ว เดี๋ยวเขาจะเอาไปอยู่ด้วย" เรื่องนี้คุณย่าสอน กรณีที่ไปเที่ยวป่า เดินในที่เปลี่ยว หรือค่ำคืนที่วังเวง ที่รกร้าง ทางอับศร (ทางที่ต้นไม้มีกิ่งก้านสาขาปกคลุมสองฝั่ง ชายไม้ปกคลุมเข้าหากัน ปิดกันแสง บ้างเรียก ทางอับแสง) สิ่งนี้เป็นคำสอนในลักษณะของการเจริญสติ เพราะหากเป็นโจร เป็นนักฆ่า ที่เขาไม่รู้ว่าเหยื่อคือคนไหน อาจจะเรียกชื่อขึ้นมาลอย ๆ เพื่อชี้เป้าก็เป็นได้ แต่ในความเชื่อเรื่องของที่มาเกี่ยวกับ เคล็ด ลาง อาถรรพ์ เหล่านี้ ว่ากันว่าเกิดจากคุณไสยมนตร์ดำ ที่คนโบราณนิยมกระทำใส่กัน บางคนที่ปล่อยภูติพรายที่เลี้ยงออกไป เพื่อต้องการกระทำใครสักคน มนตร์นั้นจะต้องสะเดาะด้วยการเรียกชื่อ ภูติพรายจะเรียกชื่อเป้าหมาย เพื่อเข้าสิงสู่ เป็นการเปิดประตูขานรับตนเอง เพราะกายหยาบของมนุษย์ หากมิใช่เจ้ากรรมนายเวร จะไม่สามารถกระทำสิ่งเหล่านี้ได้นั่นเองครับ

อีกหนึ่งคำที่ย่าพูดบ่อยครั้ง "อย่าพูดอะไรเป็นลางนะลูก โดยเฉพาะเวลาขับรถขับเรือ" เพราะความเชื่อที่ว่า มันจะกลายเป็นลางร้าย ต่าง ๆ นา ๆ ครับ สาธยายกันไปร้อยหน้าก็คงไม่จบ แต่สิ่งที่ผู้เขียนอยากให้ทุกท่านดึงสติคือ พิจารณาอย่างมีสติ และเข้าใจกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ รวมถึงความน่าจะเป็นด้วยนะครับ ส่วนตัวผู้เขียนทดลองด้วยตนเองมาตลอด 30 ปี ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง ห้ามพูดถึงเรื่องอุบัติเหตุ หรือเรื่องตาย ยอมรับเลยครับว่าพูดตลอด พูดบ่อย ๆ โดยเฉพาะความตาย พูดแทบทุกขณะจิตที่ควรระลึก เพราะผู้เขียนเชื่อในคำของพระที่ว่า "คนเรา พึงระลึกถึงความตายทุกขณะจิต" การยิ่งพูด จะยิ่งทำให้เรามีสติ เพราะร้อยทั้งร้อย คนย่อมกลัวตายผิดธรรมชาติ หรือมีใครอยากถูกรถชนตาย? มีใครอยากตายเพราะอุบัติเหตุ? แน่นอนครับว่า "ไม่มี" แต่การที่เราระลึกถึงความตาย จะทำให้เราประคองสติมากขึ้น กลัวความตายมากขึ้น อันเป็นที่ตั้งของความไม่ประมาทนั่นเองครับ สิ่งที่อันตรายกว่าพูดเรื่องความตายบนรถ ในปัจจุบันก็น่าจะเป็น "อย่าเมาแล้วขับ" เรื่องนี้น่าที่จะนำมาถือลางร้ายกันมากกว่าเสียอีกนะครับ


อีกเรื่องหนึ่งที่มีบทพิสูจน์อันเป็นเรื่องแปลก ที่เรามักจะได้ยินคนที่ก่อนจะตาย มักจะพูดอะไรเป็นลางเสมอ สิ่งนี้อยากให้ทุกคนมองที่ "กรรม" เป็นตัวกำหนดครับ คนที่ถึงคราวตาย เขามักจะพูดอะไรเป็นลางบอกเหตุ สิ่งนี้เห็นว่าจะเป็นจริงดังนั้น เพราะกรรมใดก็ตามที่เขาได้กระทำไว้ และถึงวาระของเขา เขาจะเผยกรรมออกมาเป็นวจนะเสมอ แต่ถ้ามองในความเป็นกลาง คำพูดเหล่านี้ก็ล้วนออกจากปากเราท่านเป็นปกติ เพียงแต่ยังไม่ตาย จึงไม่กลายเป็นข่าวเท่านั้นเองครับ 

ดังนั้น ผู้มีวิชาอาคม จะล่วงรู้สิ่งที่เหนือธรรมชาติ เหมือนกับผู้ที่เห็นวิญญาณ หรือเคยเห็น ก็จะบอกว่า "ผีมีอยู่จริง" ในขณะที่ผู้ที่ไม่เคยเห็น ก็จะไม่เชื่อ หรืออาจจะกลัว กลัวความมืด กลัวผี ทั้งที่ไม่เคยเห็นหน้าตาของผีก็เป็นไปได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ว่าใครที่มีความสามารถพิเศษในการมองเห็นภูติผีปีศาจ หรือสื่อสัมผัสกับวิญญาณได้ คุณต้องมั่นใจว่า จิตคุณไม่ได้ปรุงแต่งไปเอง ภาพที่เห็นไม่ใช่ภาพลวงตา สิ่งที่ได้ยินไม่ใช่ข่าวปลอม กลิ่นที่สัมผัสไม่หลอกตัวเอง สัมผัสที่ได้รับไม่จกตาตัวเอง หากมั่นใจแน่แท้แล้ว จึงจะหลุดพ้นจากคำว่า "ผีหลอก" หรือ "หลอกผี" นะครับ

วันนี้ผู้เขียนจะขอเป็นไกด์ไลน์ เกี่ยวกับการศรัทธา การเชื่อ ที่ไม่งมงาย คือเราเชื่อถือได้ ศรัทธาได้ แต่ต้องมีสติ มีเหตุ มีผล มีกฎแห่งกรรมรองรับ เราจึงจะดำเนินชีวิตอยู่เหนือความงมงายได้ อันว่าความงมงายคือการหลงในความเชื่อ การไม่ผุดขึ้นเหนือน้ำเพื่อรับฟังเหตุผล การยืนจมปลักอยู่กับโคลนตมของความงมงาย "ฉันเชื่อ ฉันมั่นใจที่จะเชื่อ มันมีคนตายเพราะแบบนี้มาก่อน ฯ" 

ทุกสรรพสิ่งบนโลก ล้วนเป็นไปตามกรรมครับ คำสอนนี้ของพระพุทธองค์เป็นจริงจับต้องได้ที่สุด ไม่มีพลังงานใดบนโลก ที่จะทำร้ายเราได้ ถ้าไม่เกิดจากกรรมสัมพันธ์ การไปเที่ยวป่า ไปหยิบของ ลบหลู่เจ้าป่าเจ้าเขา หากไม่มีกรรมสัมพันธ์ต่อกัน เขาตามมาทำร้ายเราไม่ได้ หากมีคนคิดจะหยิบ แน่นอนว่า กรรมของเขากำหนดให้หยิบ เช่นเดียวกันครับ หากมีคนที่พูดเหมือนการจากลา กรรมของเขากำหนดให้สภาวะจิตล่วงรู้ถึงเวลาของตนเองก็มีอยู่มาก 

อีกหลายเรื่องครับ ที่ผู้เขียนพยายามหาข้อพิสูจน์ แต่ก็ไม่มีผลสำฤทธิ์ใด เช่น การที่จิ้งจกร้องทักก่อนออกจากบ้าน ก็ต้องพิจารณาด้วยว่า มันเป็นพฤติกรรมของจิ้งจกประเภทหนึ่งหรือปล่าว ฝืนออกไปแล้วเจอเรื่องอะไรหรือไม่ หรือเรารู้อยู่แล้วว่าจิ้งจกร้องทักไม่ดี พอเราเดินออกจากบ้านด้วยความรู้สึกไม่ดี เรานำพาเรื่องไม่ดีเข้ามาหาตัวตามกฎแรงดึงดูดหรือเปล่า หรือการที่ตุ๊กแกร้อง 9-10 ครั้ง ก็ต้องพิจารณาองค์ประกอบด้วยว่า แหล่งอาหารของเขาสมบูรณ์แค่ไหน เขาสามารถขยายปอดได้ดีแค่ไหน การจะเชื่อในลางอาถรรพ์ อาจจะต้องใช้สติประคับประคองกันด้วยนะครับ 

ในยุคสมัยปัจจุบัน ผู้ทรงวิชาที่จะกล่าวอ้างตนเป็นผู้วิเศษ มีค่อนข้างเยอะนะครับ รู้ไม่จริงติงนัง สร้างความเชื่อ ความงมงายในหมู่คน ขณะที่ผู้ศึกษาอย่างจริงจังหลายคน ก้าวข้ามการน้อมนำความเชื่อผิด ๆ ออกไปมากมาย และไปอยู่ในจุดของจิตปฏิพัทธ์ อันหมายถึง "ยึดมั่นถือมั่นในความดี ความยุติธรรม หรือเมตตาจิต หรือแม้กระทั่งพลังแห่งศรัทธาที่บริสุทธิ์" การเชื่อมั่นว่า เร่งสร้างกรรมดี ไม่เบียดเบียนใคร ปลดระวางภาระทางโลก โดยเฉพาะพันธะต่อคนอื่น ไม่สร้างกรรมกับใคร เคลียร์กรรมเก่า ละกรรมใหม่ จิตพุ่งตรงไปสัมปรายภพที่ดี ปฏิพัทธ์ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือทวยเทพใดที่ศรัทธา และแน่นอนว่า พึงมีสติทุกการกระทำ คนที่สามารถก้าวมายืนนะจุดนี้ได้ ก็จะตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ มีสิ่งปกปักรักษาคุ้มครอง คนเหล่านี้จะมีวาจาสิทธิ์ ดังนั้น สิ่งที่พูดหากตั้งใจให้เป็นจริง ก็จะเป็นดังปาก คนเหล่านี้จะมีชีวิตอยู่เหนือสิ่งอัปมงคลทั้งปวงนั่นเอง

ดังนั้นแล้ว ถามว่าเราเชื่อในลางบอกเหตุ เภทอาถรรพ์ดีหรือไม่ บอกได้เลยครับว่าเป็นสิ่งดี เพราะแต่ละเคล็ดลาง ล้วนเป็นกุศโลบายให้มนุษย์มีสติด้วยกันทั้งสิ้น แต่เราจะจมดิ่งกับความเชื่อเหล่านั้น เอามาเป็นปัจจัยหลักในการดำเนินชีวิตได้หรือไม่ คงต้องขอตอบว่าไม่ได้ครับ เพราะถ้ามีคนรอเซนต์สัญญา 10 ล้านกับคุณ แล้วก่อนก้าวขาออกจากบ้านจิ้งจกร้องทัก คุณก็ปฏิเสธเงิน 10 ล้านเพราะกลัวอันตราย แบบนี้ไม่โอเคแน่นอน แทนที่จะทำเช่นนั้น สู้คุณอาราธนาพระปริตร แล้วเดินออกไปอย่างสง่างามดีกว่าหรือไม่ และเมื่อมีพระปริตรแล้ว ก็จงมั่นใจที่จะกระทำทุกสิ่ง ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์เทพเทวา โดยขอว่า "ขอให้ลูกมีสติ ขอเหตุเภทภัยใดอย่าบังเกิดแก่ลูก ขอให้กิจวัตรของลูกสำเร็จตามตั้งใจด้วยเถิด" 

จงเชื่อมั่นและศรัทธาในความดี จงมีสติทุกขณะจิต จงไม่ประมาทต่อความตาย มองความตายให้เป็นเรื่องธรรมชาติ หากทำให้เหล่านี้ เราท่านจะอายุยืนยาว ได้มีโอกาสเห็นธรรมชาติของโลกและมนุษย์ เพื่อบรรลุจุดประสงค์สูงสุดของชีวิต


ความคิดเห็น

คนชอบอ่าน

ความหมายของไพ่บุคคล “ควีน ออฟ วานส์” (QUEEN OF WANDS)

ความหมายของไพ่บุคคล “ควีน ออฟ เพนตาเคิลส์” (QUEEN OF PENTACLES)

ความหมายของไพ่บุคคล คิง ออฟ คัพส์ (KING OF CUPS)

ความหมายของไพ่ "เดอะ เวิลด์" (THE WORLD) สอนอ่านไพ่ยิปซี