เปิดปมหลวงปู่แสง vs. หมอปลา ในมุมที่ชาวพุทธควรดึงสติ

 

หลวงปู่แสง

เป็นอีก 1 ข่าวที่ร้อนระอุ กรณีหลวงปู่แสงจับต้องสีกา จนเป็นเหตุร้องเรียนถึงเพจ "หมอปลาช่วยด้วย" และมีการจัดทีมเข้าบันทึกภาพ เพื่อเป็นหลักฐานเอาผิดหลวงปู่ แต่เรื่องราวเหล่านี้ มันมีข้อคิดหลายมุม ที่อยากแชร์ให้คนไทยค่อย ๆ ไตร่ตรองอย่างมีสติ ดังนี้

กรณีหลวงปู่แสง
ในมุมมองของผู้เขียน พระชราภาพ อายุร่วม 100 ปี ถ้าเทียบกับฆราวาสอายุเท่านี้ ส่วนมากจะหลง ลืม ความจำมันเป็นลักษณะภาพตัด คนที่ดูแลผู้เฒ่าผู้แก่มาก่อนจะรู้ดีว่า อาการหลงลืม ต่างกัน บางคนคุยอยู่ดี ๆ ดึงแขนลูกหลานไปกัดก็มี (อันนี้เจอมากับตัว) บางคนวันนี้จำไม่ได้ พรุ่งนี้เช้าจำได้ก็มี แต่พอบ่าย ๆ ก็ลืมต่อ (อันนี้ก็เจอมากับตัว) คือคนแก่ครับ ลองเข้าใกล้ชิดดูจะรู้ว่า อาการของคนหลงลืม จะเป็นแบบนี้ แต่เมื่อมองกลับไปว่า หลวงปู่แสงอายุร่วมร้อย แล้วยังสังขารสมบูรณ์แบบนี้ ถือว่าดีแค่ไหน ที่สำคัญ ป้ายเตือนที่แปะอยู่บริเวณวัด ทำให้เราฉุกคิดอะไรได้บ้าง 

ส่วนตัวผู้เขียนมองว่า ท่านคงมีอาการแบบนี้บ่อยครั้ง จึงมีการกำชับว่า ห้ามเข้าใกล้ในระยะเท่าไหร่ แต่เหตุมันเกิดจากพระพี่เลี้ยง หรือพระผู้ดูแลรอบกาย กระทำวิบัติ ไม่ว่าจะเรื่องการเก็บอุจจาระมาตากแห้ง เรื่องเก็บปัสสาวะมาทำเป็นยาวิเศษ มันช่างสกปรกโสมมสิ้นดี เป็นวิถีที่ไม่ใช่พระป่า ไม่ใช่กิจของสงฆ์ เป็นสิ่งที่ไม่ควรสรรเสริญ และควรปราบปรามให้สิ้น รวมถึงการยินดีให้สตรีเพศขึ้นไปหาหลวงปู่ แล้วบอกให้หลวงปู่ให้พร แบบนี้มันส่อถึงความคิดที่เสื่อมทรามมาก ยังมีข้อโต้แย้งนะครับว่า "ก็ญาติโยมบางคนต้องการแบบนี้ บางคนมาให้จับแล้วจะหายจากโรค" ผู้เขียนมั่นใจเหลือเกินว่า สิ่งเหล่านี้มันเกิดจากบริวารรอบข้างหลวงปู่ ที่ไม่รักษาธรรมวินัยและกิจของสงฆ์ที่สมควร ดื่มกินของเสียจากร่างกายหลวงปู่ แล้วอ้างสรรพคุณทางยา เป็นพระที่เสื่อม และสมควรแก่การถูกประนาม

เมื่อพิจารณาให้ถี่ถ้วน ประวัติหลวงปู่แสง พระสายปฏิบัติที่กิจวัตรงดงามมาตลอดมากกว่า 80 พรรษา มันจึงย้อนแย้งกับพฤติกรรมที่ท่านได้ล่วงละเมิดในยามชรา การจำกัดคนเข้าพบ และการเว้นระยะห่าง จึงเป็นเรื่องที่สมควรทำ ซึ่งความดีนี้ เราจะไม่หยิบยกให้หมอปลาก็หาได้ไม่ หากวันนั้นหมอปลาไม่บุกเข้าไป มีหรือกฎระเบียบเหล่านี้จะถูกตั้งขึ้น คนรอบข้างหลวงปู่มีหรือจะคิดทำสิ่งเหล่านี้ มีแต่จะร่ายปาฏิหาริย์อวดอุตริมนุสธรรมกันต่อไป 

ในข้อพิสูจน์ของหลวงปู่ ทีมแพทย์ออกมาชี้แจงแล้วว่า ท่านอาพาธจริง ๆ เป็นถึง 10 โรค 

1. การทำงานของทางเดินอาหารผิดปกติ 
2. โรคหัวใจที่เกิดจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายผิดปกติ 
3. โรคความดันโลหิตสูง 
4. โรคต่อมลูกหมากโต
5. ปวดหลังเนื่องจากกระดูกสันหลังคด
6. ข้อเข่าเสื่อมทั้ง 2 ข้าง 
7. โรคกระดูกพรุน 
8. โรคนอนหลับยาก
9. สมองเสื่อมและอัลไซเมอร์ระยะที่ 1 
10. ภาวะพฤติกรรมอารมณ์ที่ผิดปกติที่เกี่ยวกับสมองเสื่อม

ก็มีกระแสสังคมวิพากษ์วิจารณ์หนักมากว่า ป่วยทำไมไม่พาไปหาหมอ คอมเมนต์ที่ไม่คิดก่อนพูด ไม่มีสติไตร่ตรอง เพราะในมุมผู้เขียน "ถ้าไม่พาไปหาหมอ เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าหลวงปู่ป่วย จะมีป้ายเตือนได้อย่างไร" คนแก่หลงลืมบางเวลา ไม่ใช่จะลืมตลอดเวลา อาการเหล่านี้มันปกติของคนแก่ บางคนก็บอกว่า "อัลไซเมอร์แล้วรู้ได้อย่างไรว่าเงินในบัญชีอยู่ไหน" "อัลไซเมอร์แล้วรู้ได้อย่างไรว่ามีนักข่าวมาหา" ผู้เขียนอ่านแล้วหดหู่ใจครับ คุณเข้าใจคำว่าอัลไซเมอร์หรือเปล่าก่อนที่จะตำหนิพระอาวุโสอายุร่วมร้อยปีแบบนั้น ในบางครั้ง อัลไซเมอร์หมายถึงการสูญเสียความจำระยะสั้น และมีพฤติกรรมก้าวร้าว ก็เหมือนกับที่ยายเพื่อนของผู้เขียนเป็นครับ อยู่ดี ๆ แกจะดึงแขนเราไปกัด แบบนั้นเลย พอผ่านไปสักพักก็หาย นี่คือคนแก่ครับ สักวันคุณ หรือคนในครอบครัวคุณก็อาจจะเป็นได้ (ถ้าอยู่กันถึงแก่นะครับ) 

เรื่องแบบนี้มันก็แค่ต้องมีคนที่เหมาะสม สมควร ในการดูแลใกล้ชิด ไม่ใช่ว่าหลวงปู่จะออกรับญาติโยมไม่ได้ แค่เว้นระยะห่าง กราบไหว้บารมีท่านที่เคยทำมา ไม่ใช่จะอุตริขึ้นไปหาท่าน ให้ท่านจับท่านล้วงแล้วออกมาตีแผ่เพื่อทำลายท่าน แบบนี้ผู้เขียนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง แค่มีจิตสำนึกที่ดี ไม่ขึ้นไปหาท่าน ทุกอย่างจะไม่เกิด หรือพระลูกวัดบอกให้เข้าก็ต้องเข้า บอกให้ท่านจับก็ต้องให้จับ ทั้งที่ตัวเองไม่ต้องการ แบบนี้หรือครับ คือสิ่งที่คุณต้องการจะบอกว่า พระลูกวัดบอกให้ทำก็จำยอมต้องทำ ลักษณะมันไม่ต่างกับการที่จะโดนข่มขืน แล้วหาทางออกไม่ได้ ต้องยอมให้เขากระทำ ผมมองภาพไม่ออกว่า พระลูกวัดมีสิทธิ์สั่งแบบนั้นกับโยมสีกาที่มาโหนกระแสได้อย่างใด คำถามที่วกไปเวียนมา บทสรุปก็คือ "ก็ไปเพราะศรัทธา แต่ไปโดนจับอวัยวะเพศมา จึงรับไม่ได้ เลยต้องมาโหนกระแส" 

แต่หลายคนสังเกตุหรือไม่ครับว่า สถานการณ์มันประจวบเหมาะ เข้าล็อค เข้าจังหว่ะพอดี มีคนร้องเรียนมาออกโหนกระแส หมอปลาจัดทีมนักข่าวไปล่อให้หลวงปู่จับ คลิปถ่ายออกมาประจาน ทุกอย่างมันลงตัวไปหมด มันเป็นเหตุให้ผู้เขียนจับประเด็นหมอปลามาว่ากันต่อ ดังนี้


กรณีหมอปลา

ก่อนที่จะไปกล่าวถึงประเด็นผิดพลาดของหมอปลา ที่หลายคนก็พอจะทราบอยู่แล้วว่า เพราะอะไร และทำไม ผู้เขียนอยากจะกล่าวถึงสักเล็กน้อย ในความเป็นหมอปลา ที่พลิกผันตัวเองมาจับพระ จับคนหลอกลวงในปัจจุบัน คำถามที่อยู่ในใจหลายคนคิดเหมือนกันคือ "หมอปลา" มีสิทธิ์ มีหน้าที่อะไรที่จะทำสิ่งเหล่านี้ คำตอบคือ เค้ามีเพจครับ ชื่อเพจ "หมอปลาช่วยด้วย" เริ่มจากลูกศิษย์ลูกหาทักมาว่า หมอปลาไปช่วยตรงนั้นหน่อย หมอปลาไปช่วยตรงนี้หน่อย นั่นก็เพราะคนเหล่านั้นศรัทธา และเชื่อว่า ทีมหมอปลาสามารถจัดการได้ ซึ่งตรงจุดนี้ผู้เขียนสนับสนุนเต็มที่ ที่จะให้หมอปลามีสิทธิ์ และมีอำนาจอันสมควรหากเป็นไปได้นะครับ เพราะการปฏิบัติกิจเหล่านี้ หมอปลาทำได้ดีทีเดียว แต่วิธีการ ต้องรัดกุมกว่านี้ และผู้เขียนมองว่า ภารกิจเหล่านี้ไม่ควรถูกบรรจุไปในไลฟ์สด หรือช่องบันทึกรายการหมอปลาแฟมิลี่ ทำไมหนะหรือครับ ลองอ่านตรงนี้แล้วคิดตามผู้เขียน


สาเหตุเพราะอะไร? นั่นก็เพราะช่องทางดังกล่าวมันคือการทำคอนเทนต์ การสร้างกระแสสังคม และการไม่รับผิดชอบต่อสังคมครับ เพราะการที่หมอปลาตัดสินว่าใครผิด แล้วต้องการสำเร็จโทษด้วยคำถาม การรุมถาม และการให้สื่อลงโซเชี่ยลอย่างเกรี้ยวกราด มันคือการตัดสินโทษคน ๆ นั้นไปแล้วโดยสังคมครับ คนที่ชื่นชมหมอปลา ต่างพากันตัดสินและกร่นด่าไปแล้ว กับคำที่ผู้เขียนพบเจอมา เช่น "ไอ้แก่ตัณหากลับ" "สึกเถอะอยู่ไปทำไม" ... ฯลฯ 


ทุกคนครับ นี่คือคำตัดสินโซเชี่ยลที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า หมอปลาสร้างมันให้สำเร็จไปแล้ว คุณน้ำฟ้า ทำมันเป็นผลไปแล้ว คำถามย้อนกลับคือ "หมอปลาและคุณน้ำฟ้า จะรับผิดชอบความคิดของคนเหล่านี้เช่นไร"  นี่แหละครับคือเหตุผลที่ผมบอกว่า การปฏิบัติภารกิจเหล่านี้ ไม่ควรตีแผ่ ควรทำอย่างมีหลักเกณฑ์ เมื่อตรวจสอบแล้ว ฟันธงแล้ว ตัดสินบทลงโทษได้จริงตามความผิดจริง จึงค่อยออกแถลงข่าวก็ไม่สายครับ สาเหตุอะไรที่จะต้องทำคอนเทนต์เหล่านี้ ผู้อ่านคงพอเข้าใจ ว่า "รายได้จากการรับชมและค่าโฆษณาเป็นผลตอบรับที่ทางช่องหมอปลาได้รับ" 


หลังจากเกิดกรณีพิพาทดังกล่าว หมอปลาออกมาขอโทษ แต่ก็ไม่ลดบทบาทที่จะตรวจสอบต่อไป ด้วยการพูดถึงเงินรายได้หลวงปู่แสง ที่มีเงินในบัญชีมากมาย จนล่าสุดตรวจสอบได้มากกว่า 150 ล้านบาท เกิดคำสาปแช่งกร่นด่ามากยิ่งขึ้น โดยไม่มีการพูดถึงว่า เงินยอดนี้ใครดูแล แล้วหลวงปู่มีพินัยกรรมให้ทำอะไรกับเงินก้อนนี้ รวมถึงที่มาที่ไปจากศรัทธาของผู้คน กำลังถูกถล่มยับเยิน ทั้งที่ คนที่มีจิตศรัทธา น้อมรับ เต็มใจ ที่จะทำบุญกับหลวงปู่แสง ผู้เขียนอ่านแล้วเห็นคำสบถ อดคิดไม่ได้ครับว่า เพื่ออะไร ด่าเพื่อ วิจารณ์เพื่อ เงินที่ชอบด้วยกฎหมาย เงินทำบุญ ที่ผู้คนมอบให้ด้วยศรัทธา อายุพรรษาท่านขนาดนั้น ถ้าท่านถอนมาทำอะไรทางโลก คุณค่อยด่าก็ยังไม่สาย แต่กลายเป็นว่า กระแสคนด่าหลวงปู่ เกิดขึ้นซ้ำสอง ต้นตอเกิดจากใคร?  ถ้าบอกว่าไม่ใช่หมอปลา ผู้เขียนขอพูดแทนนะครับว่า "มันไม่ใช่ละ" 


นี่ครับคือการสำเร็จโทษที่ลุล่วงแล้วของหมอปลา คุณน้ำฟ้า และทีมงาน ผลได้แสดงออกมาจากวาจาก้าวร้าวเกลียดชังในพระสงฆ์ชราภาพท่านนี้ และถูกตีแผ่อย่างรุนแรงทีเดียวครับ เมื่อเกิดสถานการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่า กลุ่มผู้ที่ไม่พอใจก็จะขุดคุ้ยหมอปลา เรียกได้ว่า สาวใส้กันเลยทีเดียว 


ก่อนที่หมอปลา จะมี และเป็นหมอปลาในทุกวันนี้ เคยทำอะไรมา ตามประวัติบอกเล่าจากปากหมอปลา ตำนานหมอปลาถูกถ่ายทอดออกอากาศตั้งแต่ปี 2555 ก่อนหน้านั้นสร้างชื่อเสียงมาพอสมควรในฐานะหมอผีชาวบ้าน ใครเรียกไปที่ไหนก็จะไป ช่วยทุกคนไม่หวังเงิน จนทีมข่าวเคยถาม ณ เวลานั้นว่า แล้วเอาเงินที่ไหนเป็นค่าใช้จ่าย หมอปลาตอบว่า "ชาวบ้านจะรวบรวมกันมา พอบ้างไม่พอบ้าง แล้วแต่เคส" ถึงตรงนี้ผู้เขียนอยากขยายความบริบทของการกระทำอันไม่ประสงค์รายได้ให้ชัดเจนมากขึ้น 


ถ้าไม่มีงานรองรับ เอาเงินทีไ่หนไปช่วยคน ถ้าไม่มีรายได้ เอาเงินที่ไหนมาทำ ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากคำโปรยครับ "ยิ่งให้ ยิ่งได้" ช่วยด้วยความเต็มใจ ได้รับตอบแทนก็เต็มที่ ทุกสิ่งมันเป็นสิ่งแลกเปลี่ยนกันเสมอ ถ้าจะช่วยโดยที่ไม่รับเงินเลยแม้แต่บาทเดียว คือคุณต้องมีรายได้เท่าไหร่ จากธุรกิจอะไร ถึงทำได้เพียงนั้น ต่อมาหมอปลาเริ่มมีชื่อเสียง มีการออกรายการทีวี มีช่องเป็นของตนเอง มีการขายสินค้าในแบรนด์ DR.P และมีการนำเงินส่วนตัวที่ให้ข้อมูลว่า ตนและภรรยาขายที่ดินจำนวน 40 ล้าน มาทำที่พักคนป่วย และคนไร้ญาติที่มาฝากหมอปลาดูแล ซึ่งด้วยฐานะทางสังคมนี้ เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางถึงความมีน้ำใจ และเอื้อเฟื้อต่อผู้ยากไร้ในฐานะหมอปลา 


แต่เมื่อเจาะไปดูเบื้องลึก ผู้เขียนปฏิเสธไม่ได้ถึงความย้อนแย้งในการกระทำของหมอปลาในบางเรื่อง เช่นในอดีต การสมอ้างตนเองว่าสัมผัสวิญญาณได้ ทุกครั้งจะอาเจียน และใช้มนตร์ใดในการรักษา ใช้มือจับศีรษะแล้วท่องมนตร์แล้วจะหายป่วยไข้ เพราะการสอดใส่ความเชื่อเรื่องวิญญาณ พฤิตกรรมเหล่านี้ ไม่ได้เรียกร้องเงินทอง แต่ขอทำคอนเทนต์ลงสื่อเป็นรายได้ตอบแทน ผู้เขียนมองว่า เป็นสิ่งที่ดี ดีมาก เพราะการพยายามหารายได้ทางอื่นมาซัพพอร์ตการช่วยเหลือคน เป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่งนัก แต่ ... พื้นฐานของคอนเทนต์ หมอปลาปฏิเสธได้หรือไม่ว่า "ไม่ได้อยู่บนความเชื่อ?"  การนำภาพตัวเองมาใช้ในการรักษา กล่าวอ้างว่า สามารถหายได้ เพียงใช้ภาพตัวเองพันรอบศีรษะ หรือแปะไว้ที่บ้าน พกติดตัว พฤติกรรมแบบนี้ ใช้ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์อะไรมารองรับ? นี่เป็นสิ่งที่หมอปลาต้องออกมาตอบคำถาม 


ถ้าการที่คนที่ถูกประนามว่า "หากินกับความเชื่อ" คือคนที่รับเงินจากเหยื่อโดยตรง แล้วการทำคอนเทนต์ที่สร้างความเชื่อ โดยใช้หลักการของตัวเอง สามารถปฏิเสธได้ว่า ไม่ได้หากินกับความเชื่อ แล้วค่าโฆษณาที่เข้าช่องทางสร้างรายได้ของตน คืออะไร? 

การที่หมอปลาบอกว่า สิ่งที่ตัวเองทำคือไม่ได้หากินกับความเชื่อ แต่มองพฤติกรรมของคนที่ไปปราบว่า หลอกลวงประชาชน แล้วหมอปลาใช้อะไรเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ศาลเจ้าที่ที่ไปล้มทำลาย มีแต่สัมภเวสี บ้านที่ไปช่วยเหลือ มีสิ่งไม่ดี มีของดำ ของอาถรรพ์ หมอปลาจะปฏิเสธได้อย่างไรว่า สิ่งที่ทำอยู่ "ไม่ใช่ความเชื่อ" เพราะหากหมอปลาปฏิเสธไม่ได้ว่า การทำช่องยูทูป การทำสื่อ แน่นอนครับว่า ช่องทางเหล่านี้มีรายได้จากค่าโฆษณา หรือการขายสินค้ากับผู้ติดตามก็ตามที มันคือรายได้โดยชอบธรรม นั่นเท่ากับหมอปลาปฏิเสธไม่ได้ว่า หมอปลากำลัง "หากินบนความเชื่อของผู้ชม" 


การพยายามเปลี่ยนบทบาททางสังคม จากผู้ปราบผี มาเป็นผู้ปราบพระ ปราบร่างทรง นับเป็นแนวคิดที่สร้างสรรค์ของหมอปลา แต่ผู้เขียนกับให้ค่าในการทำงานโดยไม่หวังผลอย่างบริสุทธิ์ใจ ซึ่งเดิมทีสำนักพุทธ ก็ออกมากล่าวว่ามีระเบียบการในการทำโทษพระสงฆ์ผิดวินัยมาโดยตลอด และศาสนาพุทธอยู่มาได้ 2,500 ปี โดยที่ไม่มีหมอปลา กลายเป็นข้อโต้แย้งที่เชือดเฉือนอย่างมาก ทำให้เสียงของผู้ชมแตกออกเป็นสองฝ่ายชัดเจนมากยิ่งขึ้นไปอีก ว่า การปกป้องพระพุทธศาสนา คือการประจานให้อายจะได้ไม่มีใครกล้าทำ หรือการปกปิดปราบปรามอย่างสุขุม รัดกุม เพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์ศาสนาพุทธในประเทศไทยได้รับผลกระทบ เพราะทุกวันนี้ สื่อโซเชียล ไม่ได้รับรู้เพียงประเทศไทย แต่ไปไกลทั่วโลกด้วยระบบแปลภาษาของช่องทางต่าง ๆ ที่ทันสมัยมากขึ้น "แล้วคุณหละ คิดเห็นอย่างไร" 

การกระทำดังกล่าวนี้ ผู้เขียนกำลังมองถึงความย้อนแย้งโดยสิ้นเชิงของหมอปลา ที่ตนทำได้ ตนไม่ได้หากินบนความเชื่อ ตนไม่ได้เรียกร้องเงินจากผู้ที่ขอความช่วยเหลือ แต่ตนก็ทำคอนเทนต์เหล่านี้ที่ยืนอยู่บนพื้นฐานความเชื่อที่กำลังปราบปราม มันสะท้อนถึงกระแสสังคมว่า ผู้รับชมใช้บรรทัดฐานอะไรมาบ่งชี้ถึงการกระทำของหมอปลา บางคนด่าประนาม บางคนชมเชยถึงความดีงาม โดยไม่ลำดับเหตุการณ์ และไม่ฟังสิ่งที่ตนไม่เชื่อ 


นั่นเพราะความเชื่อเหล่านี้ถูกปลูกฝังไปแล้วหรือเปล่า หรือเพราะฉันอยากเชื่อ เฉพาะสิ่งที่เชื่อเท่านั้น ผู้เขียนหวังว่าข้อคิดเหล่านี้ จะพอดึงสติผู้อ่านหลายคน ให้มองด้วยใจเป็นกลาง และเข้าใจได้ว่า ควรวิพากษ์วิจารณ์ต่อประเด็นนี้อย่างไรนะครับ ด้วยความเคารพผู้อ่านทุกท่าน

ความคิดเห็น

คนชอบอ่าน

ความหมายของไพ่บุคคล “ควีน ออฟ วานส์” (QUEEN OF WANDS)

ความหมายของไพ่บุคคล “ควีน ออฟ เพนตาเคิลส์” (QUEEN OF PENTACLES)

ความหมายของไพ่บุคคล คิง ออฟ คัพส์ (KING OF CUPS)

ความหมายของไพ่ "เดอะ เวิลด์" (THE WORLD) สอนอ่านไพ่ยิปซี