ไขข้อสงสัย "หนังหน้าครู" อุปโลกน์เครื่องรางจากเบื้องลึกไสยศาสตร์มนตร์ดำ มันใช่หรือ?

หนังหน้าครู

จากกระแสข่าวการบูชาหนังหน้าครูจากความเชื่อโบราณ ที่ไร้ที่มา ไร้การบันทึก ไม่ว่าจะเป็นในเชิงประวัติศาสตร์ นาฏศิลป์ หรือแม้กระทั่งมนตร์คาถาโบราณ ไม่มีการจดจารใด แต่กลับถูกกล่าวถึงในเชิงพุทธคุณ ศรัทธา และเช่นเคยครับ "ความเชื่อส่วนบุคคล" อันเป็นคำที่จะปกป้องการกระทำ การถ่ายทอดบางอย่าง จะด้วยความสมควร หรือไม่สมเหตุสมผลได้ ก็ด้วยการจำกัดความคำว่า ความเชื่อ ใส่เข้าไป และต่อท้ายด้วย ไม่ได้ทำอะไรให้ใครเสียหาย แต่โดยนัยแล้ว มันอาจะไม่ใช่เสมอไป 

หากพิจารณาให้ดีกับคำว่า "ความเชื่อ" มันมีหลายรูปแบบครับ เชื่อส่วนบุคคล คือไม่เผยแพร่เป็นสาธารณะ การเผยแพร่เป็นสาธารณะ จะด้วยกลวิธีใดก็ตาม นั่นคือการเผยแพร่ความเชื่อ จะด้วยสื่อโซเชี่ยล คำบอกต่อเล็ก ๆ ของผู้มีชื่อเสียง นั่นก็คือการเผยแพร่ความเชื่อ ดังนั้น จุดประสงค์ของการเผยแพร่ความเชื่อ ย่อมมีแอบแฝงอยู่เสมอ โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบไสยศาสตร์มนตรดำ เก็บสะสมวัตถุอาถรรพ์อันประกอบจากซากศพ จัดทำกลุ่มสมาชิกเพื่อนิยมบูชาในแบบเดียวกัน คุณจะทำสิ่งเหล่านี้ไปเพื่ออ้างว่าอนุรักษ์ หวงแหน สืบทอด มันเป็นเพียงคำพูดสวยหรูเพื่อน้อมนำให้คนเชื่อในแบบของคุณหรือไม่? 

ต้นตำนานไสยศาสตร์มนตร์ดำแขนงหนึ่ง ที่เกาะเกี่ยวมาตามห้วงเวลา ผ่านยุคสมัย คือการ "เล่นของ" หนังหน้าครูที่มีการลอกแผ่นหนังของใบหน้า เพื่อสะกดวิญญาณครูให้ประทับอยู่ที่ใบหน้า มันคือคุณไสยอันถูกกระทำกันในกลุ่มคณะ เพื่อให้ตนเป็นที่นิยม เป็นที่ต้องตา หรืออ้างสรรพวิชาสวยหรูให้คนบูชากราบไหว้ ซึ่งโดยนัยแล้วผิดมหันต์ ผู้ที่จะถอดหน้าครูมาทำพิธีได้ คือผู้ศึกษาวิชาไสยเวทด้านมืด โดยมีความเชื่อว่า ครูบาอาจารย์คณะไหน สำนักใด ที่มีสาริกาลิ้นทอง มีนะหน้าทอง มีการสัก การครอบจากครูบาอาจารย์เก่าแก่ วิชาเหล่านี้จะติดตัวไปจนตาย ไม่ต่างกับวิชาคงกระพัน นักเล่นของโบราณ จะสะสมด้วยการโขมยศพ ตัดชิ้นส่วนมนุษย์ เพื่อนำเอามนตร์ขลังจากอักขระเลขยันต์เหล่านั้นไปเป็นของตน ไม่ว่าจะเป็นแผ่นหน้าอก หน้าผาก หัวไหล่ แผ่นหลัง รอยสักรอยจารใดที่เกิดจากฤทธานุภาพของเจ้าสำนักทั้งฆราวาส หรือครูบาอาจารย์ฝ่ายสงฆ์โบราณ ที่อาคมวิชาแก่กล้า จะเป็นที่หมายปองของเหล่านักเล่นของ จะต้องได้ครอบครอง เพื่อประโยชน์บางอย่างที่ตนจะได้อยู่เหนือผู้อื่น

อีกศาสตร์เวทมนต์ที่จะไม่ได้นำหนังหน้ามนุษย์มาทำเครื่องบูชาลักษณะนี้ คือผู้มีวิชาจะใช้หนังสัตว์ตัดครอบใบหน้าของครูบาอาจารย์เพื่ออัญเชิญสิริมงคลและพลังเมตตามหานิยมให้มาประทับ ณ หนังสัตว์นั้น เป็นหน้ากากหน้าครู ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนเห็นว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมกว่าการใช้คุณไสยมนต์ดำยิ่งนัก

ความเชื่อเรื่องหนังหน้าครูก็มาจากจุดนี้ครับ หากเป็นการยินยอมจริงจากครูบาอาจารย์ อุทิศร่างกายตน เพื่อให้ศิษรุ่นหลังได้ถอดหน้าไปทำให้แห้งเพื่อรักษาสภาพใบหน้าศพ แล้วนำไปบูชา จะด้วยความรักในสายอาชีพนาฏศิลป์โบราณก็ตาม โดยนัยแล้ว จะไม่มีลูกศิษย์สำนักใดยินดีกระทำ เพราะความเคารพ และบุตรหลานก็จะไม่พึงกระทำ เพราะความรักระหว่างบิดา-มารดา กับบุตร หากหนังหน้าครูตามที่เป็นข่าว มีที่มาที่ไปชัดเจน ย่อมต้องมีลูกหลานออกมารองรับว่า "นี่คือหน้าบรรพบุรุษของตนที่ถูกถอดออกมาอย่างถูกต้อง ยินยอมพร้อมใจ และลูกหลานสืบทอดกันมา" แต่เราจะได้รับข้อมูลข่าวสารเพียงว่า สืบทอดมานับร้อยปี แต่ทำไม ถึงทำไม หน้าครูหลากหลาย ถึงไปตกทอดอยู่กับผู้เฒ่าเพียงคนเดียว แล้วบุตรหลานไม่รับช่วงต่อ? ซึ่งผู้เขียนมั่นใจ 100% ว่าหากเป็นบุตรหลาน จะร่วมกันทำพิธีฌาปณกิจส่งวิญญาณมากกว่าการเก็บไว้หลอนในบ้านตัวเอง ดวงวิญญาณทุกดวงควรเป็นไปตามวัฏสงสาร ไม่ใช่กักขังไว้เพื่อการใดกิจใดของตนหรือเปล่า

ตรงนี้เป็นกลอุบายของวิชาไสยศาสตร์โบราณ การโขมยศพครู การถอดหนังหน้า เพื่อทำพิธีสะกดวิญญาณฝ่ายตรงข้าม ไม่ให้ครูมีอิทธิพลเหนือตนเอง เป็นมนตร์เพื่อการชนะทั้งสิ้น เป็นศาสตร์มืดและศาสตร์ต้องห้าม ยิ่งส่งต่อรุ่นสู่รุ่น วิชานี้อาจจะมาจากสำนักเดียวกัน ที่ไล่ถอดหน้าครูมาให้ได้มากที่สุด สะกดวิญญาณให้มากที่สุด และสุดท้าย วิญญาณบาปเหล่านี้ก็ไม่ได้ไปผุดไปเกิด เป็นเวรเป็นกรรมที่ส่งต่อกันไม่สิ้นสุด จนกว่าจะมีการฌาปนกิจปลดปล่อยวิญญาณอย่างถูกต้องตามหลักพุทธศาสนาบ้านเรา 

การน้อมนำความเชื่อจากสายดำ ให้ใสสะอาด เป็นสิ่งที่ดี แต่คนดี ๆ จะนำซากศพมาบูชาเพื่ออะไร การพยายามตามหาความลี้ลับ เพื่อจุดประสงค์ทางธุรกิจ "เออดีนะ ตั้งแต่รับเข้ามายอดขายขึ้น" "รวยเอา รวยเอา" "ขอพรใดก็สมประสงค์" "อยู่ที่ศรัทธา ใครเชื่อก็ได้ไป" นั่นคือกุศโลบาย แต่จะด้วยกุศโลบายแบบใด ควรแยบยลด้วยการศรัทธาที่ไม่ขาดสติ ในฐานะพุทธศาสนิกชนที่ดี

อย่าว่าแต่ตำราสร้างหนังหน้าครู ที่มีการลอกใบหน้ามาสะกดวิญญาณ ผูกด้วยคาถาเลขยันต์โบราณเลย ตำราคุณไสยมนตร์ดำประเภทปลุกเสกกุมารทองสายพราย การนำซากศพเด็กมาเป็นส่วนประกอบสังขาร เรียกจิตเรียกนาม ตั้งธาตุหนุนธาตุ แล้วอ้างว่าเชิญวิญญาณกุมารเทพ วิญญาณเด็กตายก่อนกำหนด วิญญาณเด็กที่ตายพราย ตายในท้อง ตายเพราะทำแท้ง และอ้างว่า วิญญาณเหล่านี้ไม่ได้ไปผุดไปเกิด ต้องอยู่รอจนกว่าจะสิ้นอายุขัย จึงต้องเรียกมาประจุไว้ใหนตุ๊กตา เพื่อทำเป็นกุมารทองให้คนกราบไหว้บูชา สร้างบุญ จนกว่าจะได้ไปเกิดก็ตาม นั่นเป็นเพียงคำพูดสวยหรูของไสยศาสตร์เชิงสะกดวิญญาณ และเรียกขานให้สวยงามว่ากุมารสายพราย

การน้อมนำความเชื่อเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผิดกฏแห่งกรรม และหลักของศาสนาพุทธโดยสิ้นเชิง ซึ่งจะเห็นได้ว่า ทุกวันนี้ คนไทยนับถือศาสนาพุทธแต่เปลือกกันมาก ปากก็อ้างว่าเถรวาทเคร่งครัดหล่อหลอม มีเพียงไทยเราเท่านั้นที่ปฏิบัติจารีตดีงามมายาวนาน แต่เมื่อเห็นนิกายอื่น กลับถูกมองว่าเป็นเรื่องตลก เช่น มหายาน ตันตระ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ก็ด้วยการรับเอาอารยธรรมพราหมณ์-ฮินดู โบราณ มาก่อนศาสนาพุทธ การรับเอาศาสตร์เวทมนตร์อักขระขอมโบราณ ซึ่งมีที่มาจากอักษรปัลลวะ แคว้นปัลลวะอีกเช่นกัน ถ่ายทอดส่งต่อมาสู่ประเทศไทยและเพื่อนบ้านของเราอย่างถาโถม มนตร์โบราณบางบท ที่ร่ายในลักษณะโองการเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง ถูกหลอมรวมเข้ากับพุทธคาถาภาษาบาลี-สันสกฤต จนกลายเป็นแบบฉบับของไทย เราจะสังเกตุได้ว่า โองการบางบท แค่มีคำว่า พุทโธ พระพุทธเจ้าเสด็จมาอยู่เหนือศีรษะ เพียงแค่นี้ คนก็เชื่อมั่นแล้วว่าเป็นพุทธคุณ ซึ่งจริง ๆ แล้ว มันไม่ใช่โดยสิ้นเชิง

พระพุทธศาสนามุ่งเน้นการสละทางโลก เพื่อเข้าสู่ห้วงสภาวะธรรมอันสูงสุดคือ "นิพพาน" แต่โองการเชิญบารมีพระพุทธเจ้าให้เสด็จมาอยู่เหนือศีรษะ เชิญพระอรหันต์สาวกให้มาประทับที่บ่า ที่ไหล่ แบบนั้น จะเรียกว่าถูกต้องตามหลักคำสอนได้เช่นไร 

ในขณะเดียวกัน มนตร์โบราณบางบท ที่ถูกกล่าวถึงในเชิงพุทธคุณ คือการอัญเชิญพระพุทธคุณเพื่อประดิษฐานที่ศรีษะ ที่หู ที่ตา ที่ปาก ฯลฯ เพื่อเป็นการระลึกถึงคุณอันประเสริฐของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเหล่าอริยสาวก นั่นเพื่อน้อมคำคุณความดีเป็นเครื่องเตือนใจ และไม่ให้ประพฤติผิด จึงเป็นพระคาถาที่ถูกกล่าวถึงในหมู่สงฆ์เสียมาก เช่น "พระคาถาชินบัญชร" คือการอัญเชิญซี่กรง โครงเหล็กที่แข็งแรงจากพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นบทสรรเสริญคุณ และกล่าวถึงเพื่อให้พุทธศาสนิกชนน้อมรำลึก เหล่านี้จึงถูกเรียกว่า "พุทธมนตร์สายขาว" 

ดังนั้น ความแตกต่างระหว่างสายขาว กับสายดำ ก็คือการน้อมนำเอาพระบารมีขององค์บรมศาสนาไปใช้ประกอบในพิธีที่แตกต่างกัน โดยมนตร์สายดำลึกลับบางบท กลับไม่มีการอัญเชิญพุทธคุณแต่อย่างใด จะกล่าวอ้างถึงเพียงครูสายวิชาฤาษีโบราณ กับพราหมณ์ หรือร้ายลึกไปถึงพรานไพรผู้ทรงไสยเวทเสียด้วยซ้ำ ซึ่งถ้าจะให้เล่าย้อนกันไปถึงการได้มาซึ่งฤทธานุภาพของเหล่าฤาษีชีไพรสมัยดึกดำบรรพ์ จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงกับการค้นหาสัจธรรมของชีวิตของพระบรมศาสดา 

ดังนั้น ผู้เขียนจึงอยากสรุปว่า "การได้มาซึ่งหนังหน้าครู ไม่ใช่พิธีโบราณที่พึงกระทำ ผู้ที่สะสม ล้วนก่อกำเนิดจากความโลภ ความอยากได้ อยากมี อยากชนะ" ไม่ใช่การนับถือศรัทธาโดยแท้จริง อ้างการรั้งสังขารคนตาย เพื่อประโยชน์คนเป็น วิญญาณครูอาจหลุดพ้นไปตามวัฏสงสารแล้วก็ได้ใครจะรู้ ที่บูชาอยู่ แน่ใจหรือ "ว่าครูนาฏศิลป์?" 

ความคิดเห็น

  1. ไม่เชื่อว่าเป็นหนังหน้าคนจริงๆ น่าจะทำจากหนังสัตว์หรือวัสดุอื่น คิดง่ายๆ ใครจะยอมให้คนนอกครอบครัวมาเลาะหนังหน้าของพ่อแม่เรา เอาไปบูชาเป็นไปไม่ได้อยุ่แล้ว แล้วยิ่งตกมายังคนเพียงคนเดียวถึง 21 หน้า ภายหลังได้เพิ่มมาอีกเป็น 40-50 หน้า ยิ่งเป็นไปไม่ได้ และอีกอย่างถ้ามีพิธีกรรมนี้จริง ต้องมีบันทึกในประวัติศาสตร์หรือชีวประวัติครูแต่ละท่านแน่นอน แต่นี่หาไม่ได้

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

คนชอบอ่าน

ความหมายของไพ่บุคคล “ควีน ออฟ วานส์” (QUEEN OF WANDS)

ความหมายของไพ่บุคคล “ควีน ออฟ เพนตาเคิลส์” (QUEEN OF PENTACLES)

ความหมายของไพ่บุคคล คิง ออฟ คัพส์ (KING OF CUPS)

ความหมายของไพ่ "เดอะ เวิลด์" (THE WORLD) สอนอ่านไพ่ยิปซี